ดวงใจภวินท์ - บทที่ 46 แพ้มะม่วง
นีราภาย่นคิ้วหากัน และคอยจับตามองญาธิดา และเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง
หรือว่าข้อมูลของญาธิดาที่กรอกลงมานั้นจะเป็นข้อมูลเท็จงั้นเหรอ? แต่เธอทำไมต้องโกหกแบบนี้ด้วยนะ?
นีราภายังไม่ยอมลดละ จึงลุกขึ้นทันที “ไป พวกเราเดินตามไปดูกันเถอะ!”
หลังจากที่ญาธิดานำถาดกลับไปวางที่เดิมแล้วนั้น ก็สาวเท้าเดินออกจากโรงอาหารทันที ซึ่งเดินไม่ได้นานเท่าไหร่นัก เธอก็สัมผัสได้ว่าทุกอณูในร่างกายนั้นมันคัน ทั้งแขน คอ กระทั่งใบหน้า ทั้งร้อนแล้วคัน
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่เคยคุ้นชินกันมาแล้ว เธอเกาแขนตัวเอง และเลิกแขนเสื้อขึ้นมาดู จึงมองเห็นว่าบนท่อนแขนนั้นเริ่มมีผดผื่นจุดแดงๆ ขึ้นมาแล้ว
เธอ… กำลังแพ้อาหารอยู่นี่!
ก่อนหน้านี้เธอเคยมีอาการแพ้อาหาร จึงได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลและรู้ว่าแพ้มะม่วง ทว่าวันนี้เธอไม่ได้แตะต้องมะม่วงสักนิด!
ซึ่งเธอยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร ความรู้สึกคันคะเยอไปทั่วร่างกายกลับยิ่งหนักขึ้นเรื่อย เธออดใจไม่ไหวจนยื่นมือออกไปเกาตำแหน่งพวกนั้น บริเวณที่ถูกเกาก็แดงเป็นปื้น ซึ่งไม่ได้เป็นการหยุดให้หายคัน ในทางกลับกันยังยิ่งคันหนักกว่าเก่าเสียอีก
ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับมีแมลงนับหมื่นนับพันตัวมันกำลังกินแทะทุกอณูในร่างกายทุกส่วน ช่างทรมานอย่างที่สุด
ญาธิดาอดทนกับอาการทรมานนี้เอาไว้ และรีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดิน ทว่าด้วยความรีบร้อน ฝ่าเท้าจึงก้าวพลาด จนตัวเองลื่นถลา
ร่างกายของเธอถลาไปทางด้านหน้า ซึ่งเห็นเต็มตาว่าจะล้มไปกองกับพื้น จู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาทางด้านข้าง และประคองเธอเอาไว้ทันที
“ธิดา คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ญาธิดาทรงตัวได้ดี และเงยหน้าขึ้นจนเห็นว่าเป็นภาม
เธอส่ายหน้าไปมา และยังไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของภามก็เปลี่ยนไปทันที “หน้าคุณ…”
ญาธิดามีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันที พลางยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตนเอง ซึ่งมันบวมขึ้นมาแล้ว
ซึ่งอาการมันเหมือนกับอาการแพ้มะม่วงของเธอก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ทว่าเธอไม่ได้กินอาหารที่มีส่วนผสมเจือปนของมะม่วงนี้…
หรือว่า ….แก้วนั้นมันเป็นน้ำผักรวม? ทว่าก่อนหน้านี้เธอดื่มแล้วก็ไม่เคยเป็นอะไรนี่
เมื่อเห็นว่าภามอยากเขยิบเข้าหา ญาธิดาถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ “ฉันแพ้อาหาร”
ภามพูดทันทีโดยไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย “ผมจะพาคุณไปส่งที่โรงพยาบาล!”
เดิมญาธิดาก็อยากปฏิเสธ ทว่าความรู้สึกทรมานมันยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เธอไม่มีวิธีอื่น จึงตอบตกลงไป
….
สนามบินเขตชานเมืองของเมือง J
ภวินท์ลงจากเครื่องบิน และพานิวราไปส่งที่โรงพยาบาล จากนั้นก็มุ่งหน้ามาที่STN Group ทันที
เขามองพายุ พร้อมทั้งพูดกำชับ “ช่วงนี้บริษัทมีเรื่องอะไรบ้าง รายงานมาสิ”
“โปรเจคคุณสิงห์คอยตามอยู่ครับ ทุกอย่างปกติดีครับ และมีรองประธานหลายท่านต้องการนัดพบกับคุณครับ ตอนนี้ได้จัดลงตารางงานให้คุณเรียบร้อยไว้แล้วครับ ยังมีอีกเรื่อง ช่วงนี้ในบริษัทมีข่าวลือเรื่องคุณชายกับคุณนายมาตลอดเลยครับ…”
“เรื่องนี้ผมรู้” ภวินท์เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาเคร่งขรึม “เดี๋ยวถึงบริษัทแล้ว คุณแจ้งเธอให้หน่อยว่ามาพบผมด้วย”
พายุตอบรับ “ครับ”
ภวินท์มาถึงห้องทำงาน ก็จัดการเปิดเอกสารที่ทางผู้ช่วยจัดส่งมาให้ ยังไม่ทันได้มองอย่างละเอียดเลย พายุก็ผลักประตูเข้ามาทันที
“คุณภวินท์ครับ คุณนายเธอ… ไม่ได้อยู่ที่บริษัทครับ เธออยู่ที่โรงพยาบาล”
“โรงพยาบาลเหรอ?” ภวินท์ขมวดคิ้วเป็นโบ “เกิดอะไรขึ้น?”
พายุตอบไปตามความจริง “ผมไปได้ยินคนในแผนกธุรการพูดมา น่าจะแพ้อาหาร ตอนนี้คนอยู่โรงพยาบาลครับ”
ภวินท์ทำสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินสาวเท้าออกไปข้างนอกทันควัน “โรงพยาบาลอะไร?”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เขาเพิ่งจะหายหน้าหายตาในเพียงไม่กี่วันเอง ก็เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมายก่ายกองไม่รู้จักหยุดจักหย่อนขนาดนี้ อันดับแรกคือข่าวลือเรื่องของญาธิดากับเขา ต่อมาก็มีนายภามผุดขึ้นมาอีกเรื่อง จากนั้นเธอก็แพ้อาหารขึ้นมาอีก
พายุลังเลอยู่บ้าง “อยู่ที่โรงพยาบาลกลางครับ ท่านประธาน จะไปตอนนี้เลยไหมครับ? เมื่อครู่ยังพูดอยู่ว่าจะประชุมกับบอร์ดผู้บริหารระดับสูงอยู่เลยนะครับ?”
ภวินท์ได้ยินเช่นนั้น พลางทำสีหน้าหม่นหมองลงเล็กน้อย ทว่าฝีเท้าที่ก้าวเดินไม่ได้แสดงท่าทีจะหยุดเดินเลย “ไปโรงพยาบาล!”
ไม่เกินเวลาครึ่งชั่วโมง ภวินท์กับพายุก็รีบบึ่งมาที่โรงพยาบาล หลังจากหาเลขห้องได้แล้วนั้น ภวินท์มองบานประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่ และเตรียมจะก้าวขาเดินเข้าไป
ทันใดนั้น ในห้องผู้ป่วยก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมา “ภาม ขอบคุณนะที่คุณมาส่งฉันที่โรงพยาบาล…”
ภวินท์หยุดฝีเท้าทันที พลางกำหมัดแน่นด้วยสัญชาตญาณ
ไม่คิดเลยว่า นายภามจะเป็นคนส่งเธอมา หรือว่าทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างในกอไผ่จริงๆ …
ภายในห้องมีเสียงเล็ดลอดดังออกมาอีกครั้ง “ธิดา ผมเคยพูดแล้วนะ ถ้าคุณมีปัญหามาหาผมได้เลย”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณเป็นคนดีมาก แต่ว่าฉันต้องขอโทษกับความดีของคุณ ความจริงแล้วฉันหลอกใช้คุณ…”
ญาธิดานั่งอยู่บนเตียงคนไข้ พลางสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ “ฉันเป็นคนเริ่มนัดคุณกินข้าวก่อน ซึ่งความจริงก็เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน เพราะว่าฉันไม่อยากทำให้เรื่องของฉัน…ไปทำความยุ่งยากให้กับท่านคุณภวินท์ ดังนั้นฉันเลยหลอกใช้คุณ ขอโทษค่ะ…”
เดิมทีคำพูดเหล่านี้มันอัดแน่นอยู่ในอก เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปทั่วร่างกาย แต่ตอนนี้ได้สารภาพหมดเปลือก ในทางกลับกันเธอรู้สึกว่าผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
เมื่อภามได้ยินแล้ว สีหน้าปรากฏรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา “ธิดา ความจริงแล้วผมรู้อยู่แล้ว”
ญาธิดาอึ้งทันที “คุณ… รู้เหรอ?”
ภามพยักหน้า “อืม คุณเจอปัญหา ผมสามารถช่วยคุณได้ก็ถือว่าดีใจมากแล้วผมไม่ได้ใส่ใจมัน จริงๆ นะ”
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ญาธิดาเกิดความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจมันกลับเพิ่มมากขึ้น เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้ “ภาม พวกเราเป็นเพื่อนทั่วไปกันเถอะนะ ครั้งนี้ฉันติดหนี้บุญคุณคุณไว้หนึ่งครั้ง ต่อไปมีอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ คุณก็รีบพูดมาได้เลย”
เมื่อภามได้ยินเช่นนี้ สีหน้าแววตาหม่นหมองทันที ทว่าสุดท้ายแล้วก็พยักหน้า “ได้สิ”
ตอนแรกเขาก็อยากพูดอยู่หลายประโยค ยังไม่ทันได้พูดออกมาเลย ประตูห้องก็ถูกคนผลักเข้ามา และมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
พอเข้าหันศีรษะกลับไปมอง ก็เห็นสีหน้าอันเย็นเฉียบของภวินท์ จึงตกใจทันที “คุณภวินท์?”
ภวินท์กวาดตามองเขาอย่างเย็นชา “ออกไป”
ญาธิดาที่นั่งอยู่บนเตียงถึงกลับตาค้าง “คุณ…คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
เมื่อประตูห้องปิดลง ภายในห้องก็เหลือแค่พวกเขาสองคน
ภวินท์ก้าวเท้าเดินไปทางด้านหน้า และแผ่ความเย็นชาออกมาทั่วตัว
ญาธิดามองเขา และเกิดความรู้สึกหดหู่ทันที “คุณ…”
ชายหนุ่มโน้มตัวลง มือทั้งสองข้างพยุงอยู่บนเตียง ซึ่งตรึงตัวเธออยู่ในอ้อมแขนและระหว่างแผงอกของตัวเอง
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนมันใกล้ชิดอย่างกะทันหัน ภวินท์ราวกับมองเห็นสิวเสี้ยนเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ปลายจมูกของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน บวกจุดแดงๆ เล็กที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเนื่องจากอาการแพ้อาหาร
ภวินท์อารมณ์ขุ่นเคือง “คิดว่าถ้าผมไม่กลับมา คุณก็ไม่คิดจะบอกผมใช่มั้ย?”
แววตาญาธิดาหลบเลี่ยงทันที “ฉัน… ฉันกลัวว่าจะส่งผลเสียไปถึงคุณ”
ภวินท์อ้าปากพูด น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “ผมเคยพูดกับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคุณเป็นภรรยาของผม ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็ไม่ควรปิดบังผม!”
ญาธิดาตัวสั่นเทา และเกิดอาการพูดไม่ออกในชั่วขณะนั้น
ภวินท์มองเบ้าตาแดงๆ ของหญิงสาว จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกโทษตัวเองอยู่ในใจ เมื่อครู่ตอนที่เขาอยู่ที่ประตูนั้น และได้ยินญาธิดากับภามพูดคุยกันอย่างชัดเจนเขาถึงได้รู้เป้าหมายที่แท้จริงที่เธอไปหาภามก็เพื่อปกป้องเขา แล้วคนอย่างเขาจำเป็นต้องให้เธอมาปกป้องด้วยไหมล่ะ?
เขาทั้งโมโหทั้งหมดความอดทน พลางก้มหน้าก้มตา เหลือบมองดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของญาธิดา และท่าทางน่าสงสาร จนใจอ่อนยวบยาบลงในเวลานั้นทันที เขาค่อยๆ ยืดตัวตรง น้ำเสียงดูผ่อนคลายเล็กน้อย “ถอดเสื้อผ้าออก ผมขอดูหน่อย”
“หา?” ญาธิดายังคิดว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว “ถอด…ถอดเสื้อผ้าทำไมคะ!”
ภวินท์เลิกคิ้วขึ้น “คุณแพ้อาหารไม่ใช่เหรอ?”
มาถึงเวลานี้แล้ว เธอยังจะคิดอะไรอยู่อีก!
“อ้อ…”
ญาธิดาแอบถอนหายใจเบาๆ พลางดึงแขนเสื้อขึ้นมา “ให้น้ำเกลือ แล้วอาการดีมากขึ้นแล้ว คุณหมอได้จ่ายยาให้แล้ว เดี๋ยวก็หายดีแล้วค่ะ”
ภวินท์เหลือบมองปลายแขนอันขาวเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวที่มีผดผื่นแดงขึ้นเต็มไปทั่ว พลันย่นคิ้วพูด “ไปแพ้อะไรมา รู้ตัวหรือเปล่า?”
ญาธิดาตอบกลับเสียงแผ่วเบา “หมอตรวจดูแล้วว่าแพ้มะม่วง อาจจะเป็นเพราะว่าน้ำผลไม้ในโรงอาหารมีมะม่วงอยู่ด้วย”
รายละเอียดของสาเหตุนั้น ตัวเธอเองก็ไม่ชัดเจน
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อครู่ผมให้พายุไปสอบถามแล้ว ในน้ำผลไม้ของโรงอาหาร วันนี้ไม่ได้ใส่มะม่วงลงไป”
ญาธิดาได้ยินแล้ว เกิดความรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ทั้ง ๆ ที่น้ำผลไม้ไม่ได้ใส่มะม่วงลงไป แล้วเธอจะเกิดอาการแพ้ได้อย่างไร?