ดวงใจภวินท์ - บทที่ 501 มีที่พึ่งพิง
พอได้ยิน ดวงตาของภวินท์ก็เยือกเย็นลงทันที รอบๆตัวถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวยะเยือก
“พวกเขาคิดจะทำอะไร”
พายุรายงานไปตามความจริง “ไม่แน่ใจครับ พวกเขาพาอันธพาลมา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ทำร้ายทุบตีเลย พนักงานรักษาความปลอดภัยของพวกเราต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันหมดเลยครับ”
ภวินท์ลุกขึ้นยืนในทันที เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว “ไป ไปดูสิ”
ขึ้นลิฟต์มาที่ห้องโถง พอเดินออกมาจากลิฟต์ เขาก็มองเห็นความยุ่งเหยิง ชนัดพลพาคนมาสิบกว่าคน ยืนตั้งแถว ในมือแต่ละคนถือไม้กระบอง ส่วนพนักงานรักษาความปลอดภัยและพนักงานต้อนรับของบริษัทวรโชติยืนเข้าแถว ขวางอยู่ด้านหน้าลิฟต์
สีหน้าภวินท์บึ้งไปทันที
คลิปนั้นถูกเปิดโปงในเช้าวันนี้ เขาก็เดาออกแล้วว่าชนัดพลจะต้องเคลื่อนไหว แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเลือกใช้วิธีสุดโต่งแบบนี้
ช่วงเช้า ชนัดพลเคยอยู่ในวงการนักเลงมาก่อน เลวทรามโหดร้าย ทำเรื่องแบบนี้ได้ก็อยู่ในเหตุผลที่เข้าใจได้
“คุณภวินท์!”
บรรดาพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่หน้าลิฟต์พอเห็นภวินท์ ราวกับเห็นคนที่จะมาช่วยชีวิต นัยน์ตาสว่างเปล่งประกายออกมา
ภวินท์แอบผงกศีรษะ พร้อมกับสั่งคนที่อยู่ด้านหลังว่า “พาพวกเขาไปโรงพยาบาล ตรวจอาการทำแผล”
“ตอนนี้เหรอครับ”
“อืม ไปเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น ลูกน้องก็ลังเลเล็กน้อย
ตอนนี้ชนัดพลพาคนมาแล้ว ในมือต่างก็ถืออาวุธเอาไว้ คนทางฝั่งพวกเขานี้มีแต่พวกพนักงานออฟฟิศ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บ ถ้าตอนนี้ไปกันหมด ภวินท์ก็ต้องอยู่โดดเดี่ยวอย่างไม่มีทางสู้ จะไปต่อกรกับพวกของชนัดพลได้อย่างไร
ภวินท์รู้ว่าพวกเขาลังเลอะไรกันอยู่ แต่ก็พูดยืนกรานอย่างมั่นใจว่า “ไปเดี๋ยวนี้”
ลูกน้องได้ยินดังนั้น ได้แต่รับคำ พาพวกพนักงานรักษาความปลอดภัยจากไป
ภายในห้องโถง ก็เหลือเพียงภวินท์ต่อกรกับคนของชนัดพลเท่านั้น
ไม่รอให้ชนัดพลเอ่ยปากพูด ภวินท์ก็ก้าวมาข้างหน้า ลูกน้องชนัดพลที่อยู่ด้านข้างยึกๆยักๆ ลังเลว่าจะลงมือเลยดีหรือไม่
แววตาภวินท์ขรึมลงเล็กน้อย กวาดตามองไปยังคนพวกนั้น สุดท้ายก็มองไปยังชนัดพล “คุณลุงนี่จะทำอะไรครับ”
มีลำแสงเย็นเยือกพุ่งออกมาจากนัยน์ตาชนัดพล พูดอย่างเย็นชาว่า “ภวินท์ เรื่องนี้แกทำสุดโต่งเกินไปแล้ว”
แน่นอนว่าภวินท์เข้าในนัยยะในคำพูดเขาดี ไม่รอให้เขาเป็นฝ่ายพูด เขาก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “คลิปนั้น ผมไม่ได้เป็นคนปล่อย”
“แกคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ ตระกูลวรโชติของพวกเราพังพินาศ ฉันก็ต้องลากแกลงไปฉิบหายด้วยกัน!”
ปริญที่อยู่ข้างๆก็เสริมขึ้นว่า “ใช่ ภวินท์ แกหย่ากับน้องสาวฉัน ทำให้ตอนนี้เธอตายทั้งเป็น แล้วยังปล่อยคลิปออกมาอีก ไม่เหลือทางรอดให้ตระกูลวรโชติของพวกเราเลย อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว! อยู่บนหลังเสือลงไม่ได้แล้ว ถ้าจะตายก็ตายไปพร้อมกันหมด!”
ภวินท์เมินเฉยใส่ปริญ ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว มองไปยังชนัดพลพูดว่า “คุณลุง ผมว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดดแล้วนะครับ ผมปล่อยคลิปนั่นไปก็ไม่มีผลดีอะไรกับ STN Groupเลยสักนิดเดียว ผมไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจที่มันขาดทุน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คนภายนอกต่างก็กำลังจับจ้องพวกเราอยู่ คุณทำแบบนี้ พวกเราทะเลาะกัน ไม่เป็นผลดีกับใครเลยนะครับ”
ชนัดพลส่งเสียงฮึ่มในลำคอ พูดออกมาตรงๆว่า “ภวินท์ แกจะประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า แกจะรู้ได้ยังไงว่าหลังจากที่ฉันประกาศตัวเป็นศัตรูกับแกแล้ว ฉันจะไม่มีพันธมิตรเพิ่มมากขึ้น อย่างไรเสีย คนที่ไม่ถูกชะตากับSTN Group คงไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวแน่”
ได้ยินดังนั้น คิ้วของภวินท์ก็ขมวดเข้าหากัน สายตาเย็นเยือกขึ้น
ดูท่า ชนัดพลจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่กล้ามางัดข้อกับเขาต่อหน้าแบบนี้ แต่ตอนนี้ เห็นชัดว่าเขามีคนคอยช่วยสนับสนุนอยู่
เกิดความวิตกกังวลในใจเล็กน้อย ภวินท์เอ่ยเสียงเครียดว่า “แล้วคุณลุงจะเอายังไงครับ”
เขาพาคนมาที่นี่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ชนัดพลหัวเราะเยาะ “เรื่องพวกนี้ฉันไม่เอาเรื่องก็ได้ แต่ในเมื่อแกหย่ากับนิวแล้ว ก็ควรจะต้องชดเชยอะไรให้เธอบ้าง”
ภวินท์ถามด้วยเสียงขรึมว่า “คุณลุงต้องการอะไร”
ชนัดพลพูดอย่างไม่ลังเลเลยว่า “สองคฤหาสน์หรูในตัวเมืองJ แล้วก็หุ้นของ STN Group สิบห้าเปอร์เซ็นต์”
ได้ฟังดังนั้น ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็พากันตกตะลึง
นี่มันเรียกร้องมากเกินไปแล้ว ไม่พูดถึงสองคฤหาสน์หรูในตัวเมือง ลำพังหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของ STN Group ก็หนักใจมากพอแล้ว
มาวันนี้ แค่หุ้นธรรมดาเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจได้แล้ว เขาถึงขั้นเอ่ยปากขอหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เขามีความทะเยอทะยานมากขนาดไหนกัน
สีหน้าภวินท์ยิ่งเครียดลงอีก พูดอย่างเยือกเย็นว่า “อย่าแม้แต่จะคิด”
หุ้นของ STN Group นอกจากในมือเขากับภูผาและปกรณ์แล้ว ที่เหลือก็ยังอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นรายเล็กรายใหญ่ ชนัดพลพออ้าปากก็จะเอาหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ จุดประสงค์ต้องไม่ธรรมดาขนาดนั้นแน่นอน
พอได้ยินเขาปฏิเสธ สีหน้าชนัดพลก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาทันที เขามองไปยังลูกน้อง ยังไม่ทันได้สั่งการอะไร เสียงภวินท์ก็ดังขึ้นมาว่า “คุณลุง ต่อให้คุณลุงจะพัง STN Groupทั้งบริษัท ก็คงจะเอาหุ้นให้คุณลุงไม่ได้ คุณลุงบุกเข้ามาแย่งชิงหุ้นอย่างอุกอาจแบบนี้ ถ้าแพร่งพรายออกไป เกรงว่าบริษัทวรโชติจะกลายเป็นตัวตลกของเมือง”
พอเขาพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าชนัดพลก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
จู่ๆเขาก็รู้สึกเสียใจ ที่ตอนแรกไม่อาจบอกเจตนาของตัวเองอย่างชัดเจนขนาดนี้ ทำให้เกิดพิรุธขึ้น
เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ที่ฉันมา ก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาวของตัวเอง ภวินท์ แกติดค้างพวกเรามากแค่ไหน แกก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ!”
พูดพลาง เขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า พวกกลุ่มนักเลงที่อยู่ข้างเขาก็ตามมาข้างหน้าด้วย
ภวินท์ยืนอยู่ที่เดิม มองผู้คนที่บีบเข้ามาใกล้ ไม่ขยับเขยื้อน
บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เขาไม่ถอยไม่หลบไม่หนี เห็นแค่ปริญที่จู่ๆก็ก้าวมาข้างหน้า ทันใดนั้นมือที่ถือกระบองอยู่นั้นฟาดมาทางเขา
ภวินท์ยกมือขึ้น ใช้แขนบังไว้ จากนั้น ก็จับอีกด้านของกระบองเอาไว้ แล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ปริญเจ็บหน้าอก ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ถอยหลังไปสองก้าว จึงพบว่ากระบองในมือตอนนี้ไปอยู่ในมือของภวินท์แล้ว เขาตกใจรีบถอยไปข้างหลัง มองไปยังชนัดพลที่อยู่ด้านข้าง “พ่อ!”
ลูกน้องคนอื่นก็มองไปที่ชนัดพล รอคำสั่งของเขา
บรรยากาศตึงเครียดจนน่ากลัว ภวินท์เพียงคนเดียว ถือกระบองอันหนึ่งเอาไว้ รับมือคนสิบกว่าคน ด้วยจำนวนคนที่แตกต่างกันมาก เกรงว่าจะไม่ได้รับมือง่ายขนาดนั้น
ตอนนี้เอง จู่ๆก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวที่ประตู ดำทะมึนมาเป็นก้อน ราวยี่สิบสามสิบคน นำมาด้วยพายุ ล้อมเข้ามาจากประตู
คนของชนัดพลหันไปทันที มองเห็นผู้คนที่ล้อมเข้ามา ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ
คนเหล่านี้ ถืออาวุธอยู่เช่นเดียวกัน และยังมากกว่าพวกเขาเท่าตัว ถ้าต้องต่อสู้กัน พวกเขาคงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สีหน้าชนัดพลเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว เขายังไม่ทันพูดอะไร ลูกน้องตัวเองก็ตื่นตระหนกไปก่อนแล้ว
พายุพาคนเดินมาข้างหน้า มองมาทางภวินท์ รอคำสั่งจากเขา
เวลานี้ ถ้าชนัดพลยืนกรานจะใช้กำลังต่อ สมองเขาคงมีปัญหาแล้ว
นัยน์ตาเขาฉายความโหดเหี้ยม มองภวินท์อย่างเย็นเยือก “ภวินท์ ต่อไปยังมีเวลาอีกเยอะ เรื่องนี้ ไม่จบง่ายๆแบบนี้หรอก!”
พูดพลาง เขาก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอยไป มีเพียงปริญที่มีสีหน้าไม่เต็มใจ ไม่ยอมไป “พ่อ พวกเราจะไปแบบนี้เหรอครับ”
ชนัดพลพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไป!”
ปริญหันหน้าไปด้วยความโมโห มองไปยังภวินท์ เขายื่นนิ้วชี้ชี้ไปที่ภวินท์ จากนั้นจึงเดินตามชนัดพลอออกไป
คนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านประตูไป จากไปอย่างอึกทึกครึกโครม
พายุรีบเดินมาข้างหน้า เอ่ยถามว่า “ท่านประธาน ไม่เป็นอะไรนะครับ”
ภวินท์เงยหน้าขึ้นมา สายตามองไปทางที่พวกเขาจากไป ไม่ได้พูดอะไร เขาจับกระบองในมือแน่น หลังจากนั้นสองวินาที เสียงดัง“แคร่ก” กระบองหักเป็นสองท่อน
การที่ชนัดพลมาคนมาแบบนี้ ก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนใจแล้ว พวกเขาหน้าหนาหน้าทน เกรงว่าต่อไปสถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย
ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ เขายังไม่รู้ว่าคนที่คอยช่วยชนัดพลอยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่