ดวงใจภวินท์ - บทที่ 507 ที่พิการก็เพราะเขา
บทที่ 507 ที่พิการก็เพราะเขา!
สิ่งที่ภูผาทำกับพวกเขาในเวลานี้ ได้เปรียบในเรื่องของจำนวนคน เกรงว่าถ้าใช้ไม้แข็งเข้าสู้ พวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกกมัน!
ภวินท์กัดฟันกรอด มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น เตรียมพร้อมตลอดเวลา เขาเปียกปอนไปทั้งตัวแล้ว เงยหน้าขึ้นมามองไปยังภูผาที่นั่งอยู่ใต้ชายคาของวิหาร สายตาเคร่งเครียด “มีอะไร ก็มาลงที่ฉัน!”
ภูผาหัวเราะเยาะ “ได้ งั้นวันนี้ผมก็จะตั้งใจพูดกับพี่ให้ดี”
พูดพลาง เขาก็หันไปข้างๆ สั่งครามที่อยู่ข้างๆ “พาเขาเข้ามา”
ครามรับคำสั่ง ปฏิบัติตามคำสั่งทันที จากนั้นก็ดันรถเข็นของภูผาเข้าไปในวิหาร
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ฉันเดินเองได้!”
แววตาที่เยือกเย็นน่ากลัวของภวินท์มองไปยังคนข้างๆ ราวกับตกใจในท่าทางของเขา ไม่มีใครกล้าเข้ามาเลยสักคนเดียว
ภวินท์ก้าวขาเดินเข้าไปในวิหาร เห็นแค่เพียงเทียนในวิหารที่ถูกจุดขึ้น เปลวเทียนสั่นไหว แสงไฟสว่างไสว
เขากวาดสายมองรอบๆอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นแม้แต่เงาของญาธิดา
ภูผาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะเยาะ “ทำไม ไม่เห็นคนที่อยากเห็น ผิดหวังเหรอ”
ภวินท์เม้มปากไม่พูดอะไร
เวลานี้เอง เขาแน่ใจแล้วว่า ญาธิดาไม่ได้ถูกจับตัวมา โทรศัพท์สายนั้นก็แค่ภูผาเล่นละครตบตาเขาเท่านั้น ส่วนที่ว่าทำไมถึงขึ้นว่าเป็นเบอร์โทรของเธอและเสียงเธอนั้น เขาเองก็ยังไม่รู้
ดูเหมือนจะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ภูผาหัวเราะเบาๆ “คนที่พี่อยากเจอคนนั้น ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่พี่รู้มั้ยว่าเธออยู่ที่ไหน”
ภวินท์เงยหน้า นัยน์ตามีความโกรธและรำคาญ จ้องมองเขาพลางพูดว่า “ภูผา นายคิดจะทำอะไร สู้บอกมาตามตรง เลยดีกว่า!”
ภูผายิ้ม “ดูท่าพี่จะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของญาธิดาสินะ!”
Smart address bar. th.readeraz.com ดวงใจภวินท์ บทที่ 507 ที่พิการก็เพราะเขา! – th.readeraz
ภวินท์นิ่งเงียบ
ตอนนี้เอง ภูผาค่อยๆเชิดหน้าขึ้นครามที่อยู่ข้างๆเข้าใจความหมาย ก็หยิบของบางอย่างออกมาทันที เดินไปทางภวินท์
“พรึ่บ!” ทันใดนั้น รูปถ่ายกองหนึ่งก็ถูกโยนมากองตรงหน้าเขา
จากนั้น เสียงของภูผาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้หญิงคนนี้ที่พี่เอาแต่เฝ้าคิดถึง สุดท้ายก็ทอดทิ้งพี่ เธอพาลูกสาวลูกชาย บินไปพร้อมกับธีทัตแล้ว เมื่อเช้านี้”
คำพูดของเขา เหมือนกับสายฟ้าฟาด ดังขึ้นข้างหูเขาในทันที
เขาขมวดคิ้ว ก้มมองภาพถ่ายที่ตกลงข้างเท้า สีหน้ายิ่งบูดบึ้ง คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น
ผู้หญิงในรูป ก็คือญาธิดาจริงๆ เธอพาลูกแฝดไปที่ประตูขึ้นเครื่องบิน มุมล่างขวาของภาพถ่ายยังมีเวลากำกับไว้ ก็คือเช้าของวันนี้!
ภวินท์กัดฟันกรอดโดยไม่รู้ตัว หัวใจจมดิ่งลงไป
เขายังจำได้ เขาเคยบอกกับเธอว่า ให้เธออยู่ต่อ เธอก็รับปากเขาอย่างดี แต่ชั่วพริบตาเดียว เธอก็ไปแล้ว!
ความรู้สึกสับสนบางอย่างที่บอกไม่ถูกพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเขา ภวินท์รู้สึกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ทรมานยากจะทนไหว
เวลานี้เอง ด้านหลังของภวินท์ก็โดนโจมตีอย่างแรง ความเจ็บปวดส่งผ่านมาจากแผ่นหลังของเขา เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกเตะล้มลงไปกองกับพื้น
จากนั้น ก็ถูกตีแรงๆอีกหนึ่งครั้ง ทุบไปที่ท้ายทอยเขาตรงๆ เสียงดัง “พลั่ก!” ด้านหลังศีรษะเขาชา ในหัวเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขากัดฟันกรอด พยายามฝืนตั้งสติเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมา
ตอนนี้เอง เขามองเห็นชายร่างสูงใหญ่เงื้อกระบองขึ้นจะฟาดมาที่เขาอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึกๆ ยกแขนขึ้นมา รับกระบองนั้นเอาไว้
เขาลุกขึ้น ฝืนทนกับความเจ็บปวด โจมตีกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาเตะจุดสำคัญของชายร่างสูงใหญ่ พวกนักเลงที่อยู่ข้างๆสองสามคนก็กรูกันเข้ามา เขาแค่คนเดียว โจมตีจนอีกฝ่ายต้องถอย
ภูผานั่งยิ้มอยู่บนรถเข็น เหมือนกับว่ากำลังดูการแข่งขันอย่างนั้น ไม่สะทกสะท้าน ดูอย่างเพลิดเพลิน
เขาไม่พูดอะไร ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ
อันธพาลที่อยู่ข้างๆเข้ามาทีละคน ภวินท์ต่อสู้กับคู่ต่อสู้มากกว่าหนึ่งคน เขาหมุนวนอย่างยากลำบาก
แม้ว่าเขาจะสามารถอดทนต่อสู้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ใช่คนเหล็ก เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่มาเป็นระลอกไม่ขาดสาย สุดท้ายแล้วแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็ต้องหมดลง บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
เวลานี้เอง จู่ๆภูผาก็ยกมือขึ้น “พอแล้ว”
พอเขาพูด พวกลูกน้องต่างก็พากันถอยไปอยู่ด้านข้าง
ภวินท์หอบหายใจ มองไปยังภูผาด้วยดวงตาแดงก่ำ นัยน์ตาที่โกรธเกรี้ยวกลอกไปมา
ภูผายังคงยิ้ม ปรบมือไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป พูดเบาๆว่า “คิดไม่ถึงว่าพี่จะเก่งขนาดนี้ สู้กับคนหลายคนด้วยตัวคนเดียว ก็ยังล้มพี่ไม่ได้ แบบนี้พี่ทำให้ผมที่พิการอยู่ในสภาพนี้อิจฉาจริงๆเลยนะ”
พูดพลาง เขาก็ผลักรถเข็น ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เขา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่ยังจำได้มั้ยว่าขาสองข้างของผมพิการได้ยังไง”
ภวินท์นิ่งเงียบไม่พูด สายตาเยือกเย็นน่ากลัวจ้องไปที่ชายหนุ่มบนรถเข็น
“จะว่าไปแล้ว ขาสองข้างนี้ของผม ต้องพิการก็เพราะพี่!”
ภูผาพูดพลาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาอย่างที่สุด “พี่ยังจำได้มั้ย ตอนนั้นผมอายุสิบหก พี่อายุยี่สิบ ผมเพิ่งจะเข้ามาในตระกูลสถิรานนท์ ท่าทีของพี่ที่ทำกับผมทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในนรก! ครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายเข้าหาพี่ ทุกครั้งผมอยากที่จะกระชับความสัมพันธ์กับพี่ ผมเห็นพี่เป็นพี่ชายของผมด้วยความจริงใจ แต่พี่ล่ะ!”
จู่ๆน้ำเสียงเขาก็เคร่งขรึมลง แม้แต่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเศร้าและโกรธ ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องอยู่ที่ภวินท์ ไม่ขยับเขยื้อน “ภวินท์ ฉันอายุสิบหกก็กลายเป็นคนพิการ ก็เพราะแก!”
คิ้วภวินท์ขมวดมุ่น มือกำหมัดแน่น มองภูผาพลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทำลายครอบครัวของฉัน แย่งพ่อของฉันไป สุดท้ายยังจะมาบอกอีกว่าอยากจะเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกับฉัน ภูผา แกเห็นฉันเป็นแม่พระเหรอ!”
ที่ผ่านมาเขากับภูผาและมรกต มีแต่ความเกลียดชัง!
ปกรณ์หักหลังแม่ของเขา ตอนนั้นที่เขาอายุสี่ขวบก็มีลูกใหม่กับผู้หญิงอื่น เรื่องพวกนี้เขาไม่ถือหาความก็ได้ แต่ผู้หญิงคนนั้น รังแกคนอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง บีบให้แม่เขาต้องทนทุกข์ซึมเศร้า สุดท้ายก็เสียชีวิต ตอนที่เขาอายุยี่สิบปี
ในช่วงที่เธอกำลังจะตายนั้น ปากก็ยังเอาแต่เรียกหา “ปกรณ์” ตอนนั้นเขาที่อายุยี่สิบ จิตใจสับสนกระวนกระวาย คิดแค่อยากจะให้แม่สมหวังในวาระสุดท้าย ให้พ่อกลับมาเจอแม่สักครั้ง แต่ใครจะไปคิดว่า เขาโทรไปหาพ่อ กลับกลายเป็นมรกตที่รับสาย
มรกตหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้ปกรณ์กลับมา สุดท้ายแม่ก็ตาย โดยที่ยังไม่ได้ทำความหวังเล็กน้อยๆให้สำเร็จ
เขาแค้นปกรณ์ แค้นมรกตแม้แต่ลูกชายของพวกเขาอย่างภูผาเขาก็เกลียดเข้ากระดูกดำ
ดังนั้นต่อมาเมื่อเมียน้อยพาลูกนอกสมรสเข้ามาในบ้าน ในใจเขาก็ยิ่งรับไม่ได้ สำหรับคนที่เขาเกลียด เขาจะไปใกล้ชิดสนิทสนมด้วยได้อย่างไร
ดวงตาภูผาแดงก่ำ กำหมัดแน่น พูดอย่างโมโหว่า “แต่ว่าคำพูดประโยคเดียวของแก ก็ทำให้ฉันสูญเสียขาทั้งสองข้างไป! ภวินท์ แกไม่รู้สึกว่าตนเองโหดเหี้ยมเหรอ!”
ตอนนั้น หลังจากที่เข้ามาในตระกูลสถิรานนท์ ได้สองเดือน ก็ถึงวันเกิดปีที่สิบหกของภูผา ตอนแรกเขาก็อยากเชิญภวินท์มาร่วมงานวันเกิดของเขาด้วย แต่กลับถูกเขาปฏิเสธ ต่อมา เขาก็รวบรวมความกล้าหาญถามภวินท์ว่าทำไมถึงเกลียดเขาขนาดนั้น ภวินท์มองเขา บอกตนเองว่าไม่เพียงแค่เกลียดเขา แต่แทบจะทนรออให้เขาหายไปจากโลกนี้แทบไม่ไหวแล้ว!
ตอนนั้น วัยรุ่นอายุสิบหก ไม่เคยได้ยินคำพูดที่เลวร้ายแบบนี้มาก่อน เขาจึงเสียใจ เศร้าโศก โกรธเกลียด จากนั้นก็วิ่งพรวดพราดออกจากบ้านตระกูลสถิรานนท์ใครจะไปรู้ว่าห่างออกไปสองช่วงถนนจะเกิดอุบัติเหตุบนถนน รถยนต์ขับทับขาสองข้างเขาไป หลังจากนั้น ขาทั้งสองข้างของเขาก็ไร้ความรู้สึก
แบบนี้เอง สิบปีต่อมา เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมาน
ภูผาดึงสติกลับมาจากความทรงจำในช่วงนั้น ไม่รอให้ภวินท์เอ่ยปาก เขาก็พูดอย่างดูถูกเยาะเย้ยว่า “ตอนแรกที่ขาฉันพิการ ในใจแกคงมีความสุขมากสินะ”
เขาชะงัก หลังจากนั้น ก็อ้าปากพูดอีกว่า “แต่ตอนนี้ เกรงว่าจะไม่เป็นอย่างที่แกหวังแล้ว”