ดวงใจภวินท์ - บทที่ 519 ไร้ประโยชน์สิ้นดี
บทที่ 519 ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ทางโทรศัพท์ฝั่งนี้ ปริญกับชนัดพลต่างตกใจ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีพวกเขาก็กล่าวเบาๆ “ก็น้องสาวของผมพักนี้สภาวะจิตใจไม่ค่อยดี ผมกับคุณพ่อเห็นตรงกันว่าอยากให้เธอไปพบจิตแพทย์ครับ”
ขณะเดียวกัน ภูผาที่อยู่ปลายสายแววตาเป็นประกาย ในหัวสมองแวบบางอย่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย และกล่าวเบาๆ “แบบนี้เหรอ อย่างนั้นพอดีเลย ผมสนิทกับหมอจิตแพทย์ท่านหนึ่ง ประสบการณ์โชกโชน ผมสามารถนัดเวลาให้กับพวกคุณได้”
ปริญชะงัก หันหน้าไปมองหน้าของชนัดพล เห็นเขาพยักหน้าเบาๆ จึงได้รับรับคำ “ครับ คุณหมอที่คุณภูผารู้จัก จะต้องเชื่อได้อย่างแน่นอน! อย่างนั้นรบกวนคุณภูผาแล้วครับ”
เสียงหัวเราะเบาๆของภูผาดังมาจากปลายสาย “รบกวนอะไร เพื่อนกันทั้งนั้น”
เขากล่าวเช่นนี้ ก็เหมือนกับเป็นการเอาใจชนัดพลกับปริญ พวกเขาปลาบปลื้มดีใจ สีหน้าเปล่งประกายด้วยความปีติยินดี
ปริญตอบรัวๆ “ใช่ๆ เพื่อนกันทั้งนั้น”
“อย่างนั้นนัดกันพรุ่งนี้แล้วกัน เพื่อนที่เป็นหมอของผมคนนั้นทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ วันพรุ่งนี้เขาเข้าเวรพอดี”
“ครับ อย่างนั้นเอาตามนี้นะครับ!”
ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นปริญก็วางสายโทรศัพท์แล้วหันมามองชนัดพล ยิ้มอย่างกระหยิ่มใจพร้อมกล่าว “พ่อ พ่อได้ยินแล้วใช่ไหม เมื่อกี้ภูผาบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อน!”
ภูผาในตอนนี้ จากคุณชายรองที่เป็นคนพิการ ไม่มีอำนาจใดๆ กลายเป็นประธานผู้ครอบครอง STN Group แต่เพียงผู้เดียว เป็นคนที่ผู้คนในเมือง J ต่างเข้าแถวเพื่อต้องการร่วมมือและสานสัมพันธ์กับเขา ตอนนี้ภูผาบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อน พวกเขาย่อมตื่นเต้นดีใจ
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ใต้ต้นไม้ใหญ่ย่อมให้เงาร่มรื่น
ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทางให้นิวราแต่งงานกับภวินท์ เพื่อบริษัทวรโชติจะสามารถเกาะแข้งเกาะขา STN Group ปีนป่ายขึ้นไป เมื่อนิวราหย่าร้างกับภวินท์
พวกเขาก็เปลี่ยนที่พึ่งทันที และตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นต้นร้ายปลายดี และโงหัวขึ้นได้เสียที
ฉับพลัน ปริญคิดอะไรบางอย่างได้ รอยยิ้มบนใบหน้าหยุดชะงัก “แล้วถ้านิวไม่ได้ป่วยล่ะ”
ชนัดพลเลิกคิ้ว กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
พวกเราก็ใช้โอกาสนี้ขอบคุณภูผา และมันก็เป็นเวลาที่ดีที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย!”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
ปริญพยักหน้ารัวๆ แสดงความเห็นด้วย “ใช่ พ่อพูดถูกต้อง!”
สรุปคือ
สุขภาพของนิวราแข็งแรงหรือไม่ ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา พวกเขาแค่ต้องการอำนาจเพื่อช่วยเหลือด้านแวดวงธุรกิจในเมือง
J เท่านั้น ทำให้บริษัทวรโชติยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ!
ในสายตาของนักธุรกิจ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผลประโยชน์ต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ
สามปีก่อน
ชนัดพลเพื่อต้องการสานสัมพันธ์กับภวินท์ จึงยกนิวราลูกสาวให้แต่งงาน
ตอนนี้เพื่อประจบประแจงภูผา เขาก็สามารถบอกว่าลูกสาวมีปัญหาทางจิต
ในสายตาของเขา นิวราเป็นเพียงสินค้าที่สามารถประเมินมูลค่าและใช้ประโยชน์ได้ เป็นแค่เพียงเท่านี้
วันรุ่งขึ้น เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะส่งนิวราไปหาหมอที่โรงพยาบาลสงฆ์
ชนัดพลเดินขึ้นไปบนตึก โดยมีคนรับใช้เดินนำไปจนถึงหน้าประตู
แล้วผลักออก
ในห้องนอนของนิวรา
เธอถูกมัดมือมัดเท้า ผมเผ้ารุงรัง สีหน้าซีด
ดูไม่เป็นผู้เป็นคน
เมื่อเห็นเธอเช่นนี้ ชนัดพลอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น รับสั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ
อย่างเย็นชาว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ หวีผมให้เรียบร้อย
ประเดี๋ยวเตรียมรถเรียบร้อยแล้ว พาเธอขึ้นรถไปโรงพยาบาล”
คนรับใช้พยักหน้ารับทันที
นิวราลืมตาขึ้น มองมาทางชนัดพล
หนูผิดไปแล้ว ช่วยหนูหาพี่วินหน่อยได้ไหม……”
กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “พ่อ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด สีหน้าของชนัดพลก็ดำขึ้นทันที เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห
หันหลังจะจากไป สาวก้าวเดินมาที่ประตู แล้วทิ้งสองคำอย่างเย็นชา
“ดื้อรั้น!”
ถึงตอนนี้แล้ว เธอยังตกอยู่ในบ่วงของภวินท์ ปีนออกมาไม่ได้เสียที ช่างไม่เอาไหนจริงๆ!
เมื่อต้องเผชิญกับผลประโยชน์ของครอบครัว สิ่งที่เธอคิดก็ยังเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไร้ประโยชน์สิ้นดี!
เดิมทีเขายังอยากจะไปเป็นเพื่อนพาเธอไปโรงพยาบาลด้วย เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ เขาก็หยุดความคิดนี้ทันที เขาเดินไปถึงหน้าประตู หลังกระแอมสองสามที
ก็มองไปทางลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างเย็นชา “เดี๋ยวนายพาเธอไปโรงพยาบาล ดูไว้ให้ดี ตรวจเสร็จแล้วก็พาเธอกลับมา
ผลตรวจก็ต้องนำกลับมาด้วย”
ลูกน้องพยักหน้ารับคำทันที “ครับ”
จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็เดินจากไป
ไม่นาน ทางนิวราได้เตรียมพร้อมเสร็จสรรพเรียบร้อย มีคนรับใช้ประจำคอยปรนนิบัติ มีลูกน้องของชนัดพลส่งไปยังโรงพยาบาลสงฆ์
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
ญาธิดามาถึงโรงพยาบาลสงฆ์แล้ว เธอกล่าวอธิบายสถานการณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็รออยู่ข้างๆ
หลังจากที่พบกับคุณย่าเมื่อวานนี้
คุณย่าก็ได้ให้ลูกน้องกับเธอสองสามคน คอยช่วยเหลือเธอในการตามหาภวินท์
ยังบอกเธอถึงสถานที่ครั้งสุดท้ายที่เจอพายุ ให้เธอตามหาเบาะแส
เดิมทีสิ่งที่เธอรู้คือเจอพายุปรากฏตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์เมื่อครึ่งเดือนก่อน
ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตามแกะรอยของเขา แต่ราวกับว่าคนนั้นได้หายสาบสูญไปก็ไม่ปาน ตามหาไม่เจออีก
นี่คือสิ่งที่คุณย่าสืบมาได้ในตอนนั้น หลังจากที่ญาธิดาทราบเรื่องราวจากลูกน้องแล้ว จึงอยากไปดูสถานที่ที่พายุปรากฏตัวครั้งสุดท้าย ไปดูว่าสามารถเจอเบาะแสอะไรได้บ้าง
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ประตูได้เปิดออก ผู้หญิงในชุดพยาบาลคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
มองดูเธอแล้วกล่าว “กล้องวงจรปิดของทางเราเจ็ดวันจะทำการล้างหนึ่งครั้ง แต่ว่าครั้งก่อนเคยมีคนมาขอดู ทางเราเกรงว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญ ดังนั้นพวกเราจึงได้สำรองข้อมูลไว้
คุณตามดิฉันมาค่ะ”
ญาธิดาได้ยินก็รีบพยักหน้าทันที แล้วเดินตามพยาบาลไป
เดินตามเธอเข้าไปยังห้องควบคุมกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล เห็นหน้าจอมอนิเตอร์แสดงอยู่บนผนังทั้งสองด้านในห้องขนาดใหญ่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ
กล้องวงจรปิดทั่วทั้งโรงพยาบาลอยู่ที่นี่แล้ว พยาบาลที่นำทางเดินไปที่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ อธิบายกับเจ้าหน้าที่ จากนั้นพยักหน้าให้ญาธิดา แล้วก็หันหลังจากไป
เจ้าหน้าที่รู้จุดประสงค์การมาของเธอ จึงได้หยิบยูเอสบีออกมาจากลิ้นชักมาเสียบลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเปิดภาพออกมา
ไม่นาน ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพขึ้น เป็นภาพในลิฟต์ ด้านในมีคนอยู่หลายคน ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง เวลานี้จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามา
เขาสวมชุดผู้ป่วย ผมบนหน้าผากค่อนข้างยาว เพราะไม่ได้ดูแล จึงค่อนข้างรุงรังจนปิดหน้าปิดตา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อญาธิดาเห็นแวบแรกก็สามารถจำได้ ว่าชายหนุ่มคนนั้นก็คือพายุ!
ไม่นาน คลิปวิดีโอก็นี้จบลง และตามมาด้วยหน้าจอที่ปรากฏภาพอื่น ในล็อบบี้ของโรงพยาบาล พายุเดินก้มหน้าไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ ราวกับว่ากำลังถูกคนตาม เขาเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็หันมองด้านหลังอย่างลนลาน จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินไปด้านหน้าต่อ……
ดูภาพพายุที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอกล้องวงจรปิดซ้ำอีกรอบ ญาธิดาก็จมอยู่ในห้วงความคิด โดยไม่ได้เปล่งเสียงเป็นเวลานาน
เวลานี้ สิ่งที่เธอได้มีเพียงสองข้อมูล หนึ่ง พายุในชุดผู้ป่วย นั่นก็หมายความว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงต้องนอนที่โรงพยาบาล สองคือจากที่เห็นในหน้าจอกล้องวงจรปิด ราวกับว่ามีคนกำลังตามเขา และเขากำลังหลบคนเหล่านั้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองของเธอยังคงไม่เจอเงื่อนงำใดๆ เธอเงยหน้ามองไปทางเจ้าหน้าที่ แล้วกล่าวเบาๆ “รบกวนให้คัดลอกวิดีโอนี้แก่ฉันหน่อยจะได้ไหมคะ”
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เบาะแสอะไร แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่สูญเปล่า สามารถคัดลอกคลิปวิดีโอกลับไปด้วย ค่อยๆ ดู วนดูซ้ำๆ หลายรอบ บางทีอาจจะเจออะไรใหม่ๆ