ดวงใจภวินท์ - บทที่ 534 ค้นหา
บทที่ 534 ค้นหา
เมื่อถามคำถามนี้ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ
ไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยได้อย่างไร เขาอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมมาเดือนกว่าแล้ว แต่จู่ ๆ ก็เกิดปัญหาขึ้น
ภวินท์ขมวดคิ้วครุ่นคิด
ขณะนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือคนที่สถานปฏิบัติธรรม ทั้งท่านเจ้าอาวาส ยังมีเหล่าเณรน้อยอีก ….
อีกด้านหนึ่ง ณ สถานปฏิบัติธรรมบนเขาราม
ญาธิดาเดินสำรวจทั่ววัดแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เธอขยิบตาไปหาพี่เข้มและพยัคฆ์ เป็นการส่งสัญญาณ หลังจากพูดคุยกับเจ้าอาวาสสักพักนึงพวกเธอก็ขอตัวลา “ตอนนี้ฝนก็หยุดตกแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว พวกเราต้องขอตัวลาก่อน ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสที่ให้การต้อนรับค่ะ”
ญาธิดาพนมมือเข้าด้วยกัน และโค้งคำนับให้กับเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสยิ้มให้เล็กน้อย และพูดว่า “ไม่เป็นไร อาตมาจะให้เณรศีลไปส่งพวกท่านแล้วกัน”
จากนั้นท่านก็โบกมือเรียกเณรศีล
ญาธิดาจ้องมองเณรน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
เณรศีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ แก้มก็แดงขึ้นอีกครั้ง พาทุกคนไปยังประตู “ตามผมมาครับ”
ญาธิดาอมยิ้มและเดินตามไป จากนั้นนักบวชชราหลังค่อมก็เดินไปข้างหน้าเจ้าอาวาส และพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เธอสังเกตเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจ้าอาวาสเปลี่ยนเป็นกังวลเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและพูดบางอย่างกับนักบวชชรา
เธอมองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เดินตามเณรน้อยออกจากสถานปฏิบัติธรรมไป
ในที่สุด หลังจากบอกลาเณรน้อยแล้ว เดินออกมาได้สักพัก พี่เข้มก็ถามขึ้นว่า “เจออะไรบ้างไหม?”
ญาธิดาหายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า “ไม่เลย”
ตอนแรกฉันก็คิดอยู่ว่าภวินท์จะอยูในที่แบบนี้หรือเปล่า แต่หลังจากลองเดินดูรอบ ๆ แล้ว ก็ไม่พบที่ที่น่าสงสัย ยกเว้นแต่ลานเล็กตรงนั้น ซึ่งก็อาจจะเป็นที่ที่ไม่ค่อยให้คนทั่วไปเข้าไปดูก็ได้
หลังจากได้ยินที่ญาธิดาพูด พี่เข้มและพยัคฆ์ก็ไม่ได้พูดอะไร
การผิดหวังซ้ำ ๆ มักจะทำให้คนทุกข์ทรมาน
เมื่อเห็นพวกเขาสองคนทำหน้าตาผิดหวัง ญาธิดาก็เข้าไปปลอบเบา ๆ “ฉันขอเบอร์ติดต่อเจ้าอาวาสไว้แล้ว รอพวกเรากลับกันแล้วฉันจะลองสอบถามดูว่าเดือนที่ผ่านมาพบเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ บ้างไหม”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าการมาหาเบาะแสที่นี่นั้นถูกต้องหรือเปล่า เป็นเพราะคำพูดของสิงโต…
พยัคฆ์พยักหน้า พลางมองขึ้นไปบนฟ้า “ท้องฟ้ายังครึ้ม ๆ อยู่เลยพวกเรารีบไปกันเถอะ”
ญาธิดาและพี่เข้มเห็นด้วย
ทั้งสามคนรีบออกไปจากที่นั่น จนไม่ทันสังเกตเลยว่ามีบางคนแอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่งไม้ด้านหลัง
เมื่อทั้งสามคนจากไป คนที่ซ่อนอยู่ในพุ่งไม้ก็ลุกออกมามุ่งหน้าไปยังสถานปฏิบัติธรรม ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ล้อมสถานปฏิบัติธรรมไว้
ตอนนี้มีรอบ ๆ สถานปฏิบัติธรรมถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่กำลังรออย่างเงียบเชียบ ภูผาเดินออกมาจากอีกฝั่งปัดฝุ่นตามตัวพูดกับตัวเองว่า “แค่นี้ฉันก็ให้เกียรติธีทัตมากพอแล้ว”
ทันทีที่พวกเขามาถึงที่นี่ ก็ได้ติดต่อกับคนของธีทัตและหมอก ทำให้ทราบว่าญาธิดาเข้าไปแล้วยังไม่ออกมา พวกเขาจึงซ่อนตัวรออยู่ด้านนอกรอให้พวกเธอกลับไปแล้วจึงค่อยบุกเข้าไป
ด้วยจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้แม้แต่แมลงวันก็ไม่พ้นสายตาของพวกเขา ภูผาไม่ทนรออีกต่อไป นำคนพังประตูสถานปฏิบัติธรรมเข้าไปด้านใน
เจ้าอาวาสได้ยินเสียงจึงรีบเดินมาดู ปรากฏว่าพบแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ที่หน้าประตู เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขึมเล็กน้อย ภูผาที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ พอดีพวกเราเดินมาผ่านแถวนี้แล้วรู้สึกกระหายน้ำ อยากจะขอดื่มชาซักถ้วยจะได้ไม่หรือไม่?”
เจ้าอาวาสมีสีหน้าเคร่งเครียด พาคนมาตั้งมากมายขนาดนี้ ดูแล้วคงไม่ได้แค่เดินผ่านมาแน่
เขาตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เชิญโยมเข้ามาดื่มได้ แต่ดูแล้วพวกโยมมาเยอะขนาดนี้ เกรงว่าถ้วยน้ำชาจะไม่พอ”
ภูผาหัวเราะเล็กน้อย พลางเดินออกไปข้างหน้า “ไม่เป็นไรครับ แค่ให้ผมดื่มถ้วยเดียวก็พอแล้ว”
เจ้าอาวาสค่อย ๆ ตอบ “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญโยมท่านอื่นรอด้านนอกก่อน ในนี้ค่อนข้างคับแคบ ไม่สามารถรับคนมากขนาดนี้ได้”
ได้ยินดังนี้ ภูผาก็ขมวดคิ้ว เหลือบไปเห็นนักบวชชราที่อยู่ด้านหลัง แม้จะอายุมากแล้ว แต่เต็มไปด้วยรัศมีของความแนวแน่ที่มองไม่เห็น
จากนั้น เขาก็ยิ้มอย่างโล่งใจ โบกมือขึ้นบอกคนอื่น ๆ ให้ถอยออกไป ก่อนที่จะเข้าไปดื่มน้ำชากับเจ้าอาวาสด้านใน
ยังไม่ทันจะดื่มหมด เขาก็ถามไปตรง ๆ “ท่านเจ้าอาวาส ที่ผมมาที่นี่ไม่ได้เพียงแค่ต้องการดื่มน้ำชาหรอก พอดีผมได้ยินมาว่าเพื่อนสนิทของผมอาศัยอยู่ที่นี่ ผมจึงจะขอไปพบเขาสักหน่อยได้ไหมครับ”
เจ้าอาวาสได้ฟัง ก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติและพูดช้า ๆ “เพื่อนของโยมชื่อว่าอะไรล่ะ ที่นี่ไม่มีคนมากนักหรอก แค่บอกชื่อมาก็ทราบได้แล้ว”
ภูผาส่ายหัว “เขาไม่ใช่นักบวชที่นี่ ชื่อของเขาคือภวินท์”
เจ้าอาวาสส่ายหัวเบา ๆ “ที่นี่ไม่มีบุคคลชื่อนี้”
ได้ฟังดังนั้น ดวงตาของภูผาก็ฉายแววเย็นชา “ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คนของผมเข้าไปค้นดูสักหน่อย ถ้าหากค้นเจอล่ะก็ อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน”
เจ้าอาวาสขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร นักบวชชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น “พวกเราที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาค้นซี้ซั้วเด็ดขาด!”
หลังพูดจบเขาก็ถูกคนของภูผาจับไว้ เขากำลังจะขัดขืน มองไปยังเจ้าอาวาสที่ส่ายหัวให้เขา ก่อนจะค่อย ๆ สงบลง
เจ้าอาวาสถอนหายใจยาว แววตาไร้ซึ่งความกลัว พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เชิญไปหาดูเถอะ”
ตั้งแต่ที่ภวินท์มาอยู่ที่นี่ และหลังจากได้ทราบภูมิหลังของเขาแล้ว เจ้าอาวาสก็ทราบดีอยู่แล่วว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
คนของภูผาค้นจนทั่วแต่ก็ไม่พบอะไร จากนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็เดินมากระซิบบางอย่างข้างหูภูผา จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที
เขาหันไปถามเจ้าอาวาส “มันหนีไปแล้วหรือ?”
เจ้าอาวาสไม่ตอบ ลืมตาขึ้นมองด้านหน้า ปากท่องพระคัมภีร์อย่างเงียบ ๆ
เขาโกรธจัด กัดฟันมองไปยังเจ้าอาวาสและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มันหนีไปไหน? ท่านต้องรู้สิ บอกมาเดี๋ยวนี้!”
เจ้าอาวาสไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น
ภูผาก้าวไปคว้าคอเสื้อเจ้าอาวาสขึ้นมา “บอกมาเดี๋ยวนี้!”
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จิตใจของเขาไม่เคยสงบลงเลยเพราะไม่มีใครเคยพบศพของภวินท์ ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดคือเขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะเป็นไปได้จะน้อยมาก แต่เขาก็อดระแวงไม่ได้
ไม่คิดว่าภวินท์จะยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
ครั้งก่อนเขาพลาดไป ครั้งนี้เขาจะไม่ทำพลาดอีก เขารู้ดีว่าถ้าภวินท์กลับมาเมืองJอีก มันก็ถือเป็นการคุกคามเขาอย่างหนัก !
ภูผาเขากัดฟันแน่น โกรธจนควันออกหู หลังจากนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างออก จึงหันไปพูดกับลูกน้องว่า “ไปจับตัวเณรน้อยพวกนั้นมา!”