ดวงใจภวินท์ - บทที่ 54 ยังโกรธฉันอยู่ใช่มั้ย
ญาธิดาเดินกลับห้องทำงานอย่างหดหู่ และนั่งเก้าอี้ก้นยังไม่ทันจะร้อนเลย ก็มีคนผลักประตูห้องเธอเข้ามาทันที
พิชญ์สินียืนอยู่ตรงประตู พลางมองและถามญาธิดา “เป็นไงบ้าง? จัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”
ญาธิดาหมดอารมณ์ จะตอบรับตามน้ำไป “อืม”
พิชญ์สินีตกใจอยู่บ้าง “ประธานภวินท์กลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม”
พลางเห็นญาธิดาพูดไม่เกินสองคำ พิชญ์สินีอ้าปากพูดอย่างไม่พอใจ “นี่เธอกำลังหมายความว่ายังไง? เรื่องงานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนตั้งสติได้ จึงหันมาทางพิชญ์สินี และพูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “ไปต้อนรับคุณคณินแล้ว และจัดการให้เขาไปอยู่ในห้องรับรอง สิ่งที่ฉันควรทำก็ทำทั้งหมดแล้ว ท่านประธานภวินท์ก็มาแล้ว ส่วนเรื่องพวกเขาพูดคุยกันว่ายังไงกันฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ พิชญ์สินีแสดงความไม่พอใจออกนอกหน้า แต่กลับไม่สามารถตอกกลับได้
เธอเคยได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคณินเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินปากว่ามือถึงตลอด และมีข่าวลือหนาหูเรื่องการชอบรังแกคน ดังนั้นเธอจึงจงใจโยนงานเผือกร้อนนี้ให้กับญาธิดา แค่อยากมองเห็นอับอายของเธอ ทว่าไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้
เมื่อมองถึงประเด็นนี้แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไร เธอทำได้แค่เปลี่ยนประเด็นหัวข้อเรื่องเท่านั้นเอง “แล้วรายงานสถานการณ์การเข้างานทำเสร็จแล้วหรือยัง? ฉันรีบใช้”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จึงตอบไปตามความจริง “เมื่อเช้าคุณเพิ่งเอามาให้ฉันเอง ตอนบ่ายก็มีงานอื่น เวลากระชั้นชิดเกิน ยังทำไม่เสร็จ”
พิชญ์สินีได้ยินดังนั้น พลางพูดเสียงเย็นชาใส่ “คุณเร่งๆ ให้หน่อยแล้วกัน”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับ พลางเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องทำงานทันที
เสียงบานประตูปิดดัง “ปึง” ญาธิดานั่งลงหน้าโต๊ะทำงาน อารมณ์ยังไม่มีท่าทางดีขึ้นสักนิด
เมื่อคิดถึงภวินท์ เธอก็เหมือนกับไร้จิตวิญญาณ ร่างกายกะปลกกะเปลี้ยไม่สามารถเรียกพลังงานกลับมาได้
ท้ายที่สุดก็ทนมาถึงเวลาเลิกงาน ญาธิดากลับมาถึงบ้าน เดิมก็อยากจะขอคำแนะนำจากป้าจันทร์ว่าจะทำยังไงถึงทำให้ภวินท์เขาหายโกรธได้ ทว่าหลังจากสอบถามไปแล้ว เธอถึงรู้ว่าคืนนี้ภวินท์ไม่กลับบ้าน
เดิมยังคิดว่าแค่คืนเดียว ทว่าใครจะรู้ว่า สามวันติด ภวินท์ไม่กลับมานอนที่บ้านเลยสักวัน
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาโกรธเธอจริงๆ
สามวันนี้ต่างยุ่งตลอดทั้งสามวัน เธอยุ่งหัวหมุนกับงานในแผนกอยู่ตลอด การได้พบเจอกับภวินท์นั้นก็มีจำนวนน้อยครั้งจนสามารถนับนิ้วได้ แต่เป็นเพียงการพบเจอในบริษัทเพียงบางครั้งคราวทั้งสิ้น และกล่าวทักทายกันทั่วไปเท่านั้น
ญาธิดาหาโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดทางแผนกมีเอกสารฉบับหนึ่งที่ต้องเอาไปส่งให้สำนักงาน CEO เธอจึงอาสาไปส่งเอกสารเอง
เธอเองก็ไม่ได้ร้องขอเรื่องอื่น การที่ได้พบเจอกับภวินท์สักครั้ง ได้พูดคุยหลายประโยคก็ยังดี
ญาธิดาหนีบเอกสาร เธอกอดอารมณ์ความตื่นเต้นเอาไว้และเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงาน CEO จังหวะที่เพิ่งมาถึงประตูห้องทำงานของCEOนั้น ก็เจอกับนีราภา
เมื่อเหมือนว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ทั้งสองคนสบตากัน ญาธิดาเบนสายตาไปอีกทางหนึ่ง พลันเดินไปทางห้องทำงานภวินท์ทันที
“รอเดี๋ยว”
วินาทีที่เดินสวนกัน เธอกลับถูกเรียกรั้งเอาไว้อย่างกะทันหัน
ญาธิดาหันศีรษะกลับไปมองนีราภา “ทำไมเหรอ?”
เวลานี้เมื่อมองมาที่ตัวของนีราภา เธอปฏิบัติตัวด้วยอารมณ์ปกติ ไม่คาดหวังและไม่ได้คิดเยอะ
ราวกับมีความรู้สึกหวาดหวั่นต่อญาธิดาอยู่ในใจบ้าง น้ำเสียงนีราภาแสดงความลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงแสดงท่าทีเย็นชาเล็กน้อย “คุณจะเข้าไปทำอะไร?”
ญาธิดาชูเอกสารที่อยู่ในมือ “ส่งเอกสารสิ”
นีราภายื่นมืออกมา “เอามาให้ฉัน ฉันไปส่งเอง”
ญาธิดาเอาเอกสารที่อยู่ในมือหลบหลีก พลางพูดอย่างแผ่วเบา “มีเรื่องบางอย่างที่ต้องรายงานเล็กน้อย ฉันเข้าไปเองจะดีกว่า”
พูดจบ เธอไม่รอให้นีราภาพูดอะไรต่อ พลางเดินปรี่มุ่งหน้าไปทันที
สีหน้านีราภาในชั่วขณะนั้นเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มาก เมื่อเธอหันศีรษะกลับมานั้น พลางจ้องมองแผ่นหลังญาธิดาด้วยอาการกินเลือดกินเนื้อ
ถึงอย่างไรต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เธอต้องเอาโทษทันณ์ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองได้รับตอบแทนเธอให้สาสม!
ญาธิดาเดินมาถึงประตูห้องทำงาน พลางชูมือเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงภายในห้อง ถึงได้ผลักประตูเข้ามา
เธอเดินเข้ามา จึงเห็นว่าภวินท์กำลังนั่งเปิดเอกสารอ่านอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน
เธอสูดลมหายใจลึกๆ “ประธานภวินท์ นี่คือเอกสารรายงานของแผนกธุรการที่คุณต้องการค่ะ”
ภวินท์ได้ยินเสียงแล้ว พลางหยุดมือที่กำลังวุ่นวายอยู่ทันที พลางช้อนสายตามองเธอ “อืม วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ”
“ได้ค่ะ”
ญาธิดาเอาเอกสารวางไว้บนโต๊ะ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม และแสดงความหมายว่าไม่ต้องการจะเดินออกไป
ภวินท์เหลือบมองอาการของหญิงสาวที่มีอะไรจะพูดแต่ทำอ้ำๆอึ้งๆไม่ยอมพูดออกมา พลางอ้าปากเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรอีก?”
หลายวันนี้ เขาตั้งใจไม่กลับบ้าน ก็เพื่อรักษาระยะห่างกับเธอ และแสดงความเย็นชาให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ยังมีอีก ช่วงนี้เขาไม่สะดวกจะกลับไป…
ญาธิดาประสานมือกัน พลางเรียกความกล้าหาญออกมาและเอ่ยถามทันที “คืนนี้ คุณจะกลับบ้านมั้ยคะ?”
“ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ญาธิดากัดริมฝีปาก “…เปล่าค่ะ”
ญาธิดาเอาเอกสารที่อยู่ในมือวางลงทางด้านข้าง “เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
เขาพูด และลุกขึ้นยืนทันที และเดินมายังชั้นแขวนเสื้อ และจัดการหยิบเสื้อโค้ตติดมือมา
ปลายจมูกญาธิดาแสบทันที พลันยื่นมือออกไปอย่างกะทันหัน เพื่อคว้าเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้อย่างแผ่วเบา “คุณยังโกรธฉันอยู่ใช่หรือเปล่าคะ…”
หลังจากตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่เขาได้พูดคำเหล่านั้นตอนอยู่ในเลาจน์รับรองแขกออกไป เขาก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้านอีกเลย
ภวินท์หยุดการกระทำทุกอย่าง และค่อยๆ เบนตัวหันข้าง “…เปล่า”
ญาธิดาก้มหน้าลง พลางกัดริมฝีปาก “งั้นก็รังเกียจฉันนะสิ…”
ภวินท์ได้ยินดังนั้น พลางย่นคิ้ว “เปล่า”
เขาไม่เคยรังเกียจเธอมาก่อนเลย ไม่งั้นตอนแรกจะไปขอเธอแต่งงานได้ยังไงกัน?
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดอย่างแผ่วเบา “งั้นคืนนี้คุณกลับบ้านเถอะนะ ฉัน…กับป้าจันทร์คิดถึงคุณแล้วค่ะ”
ภวินท์ตะลึง ไม่รู้ว่าจะตอบปฏิเสธไปยังไงดี
แม้ว่าเขาแต่งงานกับเธอซึ่งมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง ทว่าสุดท้ายเธอก็เป็นภรรยาของเขาเพียงในนามเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะเย็นชาใส่เธอแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
หลังจากเงียบงันอยู่เพียงไม่กี่วินาที เขาก็พูดเสียงแผ่วเบา “ตกลง”
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงแล้ว ญาธิดาดีใจลิงโลด “คุณตอบตกลงแล้วนะ!”
เพราะว่าความดีใจ มือที่จับชายเสื้อของเขาเอาไว้ออกแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จังหวะนั้นเอง สีหน้าของภวินท์เปลี่ยนแปลงทันที พลางเปล่งเสียงถามอยู่ในลำคอ
“ทำ…ทำไมเหรอ?”
แม้ว่าเขาแต่งงานกับเธอซึ่งมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง ทว่าสุดท้ายเธอก็เป็นภรรยาของเขาเพียงในนามเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะเย็นชาใส่เธอแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ญาธิดาตกใจ จนปล่อยมือตามจิตใต้สำนึก พลางมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่แข็งทื่ออยู่บ้าง และพูดอย่างเป็นห่วง “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ภวินท์พยายามเก็บงำความรู้สึก พลางตอบตามน้ำไป “ไม่มีนะ ผมยังมีธุระต่อต้องออกไปข้างนอก คุณกลับไปทำงานเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ของภวินท์แล้ว ญาธิดาไม่ได้ซักไซ้ต่อ หลังจากส่งเสียงตอบรับแล้ว จึงถอยออกจากห้องทำงานทันที
ไม่ว่าจะเป็นยังไง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขายอมกลับบ้านแล้ว!
ญาธิดาอารมณ์ดีมาก เมื่อกลับไปที่แผนกก็ส่งข้อความหาป้าจันทร์ทันที เพื่อให้เธอได้เตรียมอาหารไว้หลายๆ อย่าง
หลังจากที่ป้าจันทร์ได้ตอบกลับข้อความแล้ว ญาธิดาจึงหยิบแก้วน้ำและเดินไปยังห้องเครื่องดื่มเพื่อเทน้ำผลไม้อย่างยินดีปรีดา
ชมพู่เดินมาอยู่ด้านข้างญาธิดา และหยิบแก้วมากดน้ำอุ่น เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ จึงอดปากถามไม่ได้ “มีเรื่องอะไรถึงได้ดีใจขนาดนี้? ถึงได้แผ่รัศมีโลกสีชมพูสดใสออกมาทั่วตัว หรือว่า …กำลังมีความรัก?”
ญาธิดาโต้ตอบกลับมา และตอบแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยสัญชาตญาณ “เปล่านี่!”
แม้ว่าปากจะพูดเช่นนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด แก้มของเธอร้อนผ่าวทันที
ชมพู่หัวเราะร่าและพูดทันที “หน้าแดงแล้วเนี่ย ปากยังพูดว่าเปล่าอีก? ถ้าให้ฉันพูดนะ แกกำลังมีความรัก หรือไม่แกกำลังคิดถึงคนที่ชอบอยู่แน่ๆ!”
โดนเธอพูดออกมาเช่นนี้ ญาธิดาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไร เธอถือแก้วและรีบเดินออกเพื่อหนีเข้าห้องทำงานไปอย่างรีบร้อน พลางปิดประตูทันที
เธอเอนหลังพิงบานประตูอยู่นาน ถึงได้สงบสติอารมณ์ได้บ้าง
เธอลูบแก้มของตนเอง ที่แท้ก็ร้อนผ่าวจริงๆ ด้วย!
เมื่อครู่เธอก็แค่คิดถึงภวินท์เท่านั้นเอง…หรือว่า เธอคิดอะไรกับภวินท์จริงๆ แล้วเหรอเนี่ย?
ทันใดนั้น พลางมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ติ๊งต่อง” ญาธิดาได้สติกลับมา พลางหยิบขึ้นมาดู เป็นข้อความจากคุณหญิงปภาวี
“ธิดา แกปรึกษาหารือกับภวินท์ไปถึงไหนแล้ว? ทำไมไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย?”
เมื่อมองเห็นข้อความนี้แล้ว ญาธิดาถึงได้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดกับภวินท์เลย!
ก็คือเรื่องจัดงานแต่งงานนี่แหละ สองสามวันมานี้เธอไม่ค่อยเจอหน้าเจอตากับภวินท์เลย จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ถ้าวันนี้ภวินท์กลับบ้านมา งั้นเธอก็ต้องหาโอกาสพูดคุยกับเขาแล้วแหละ
แม้ว่าเขาแต่งงานกับเธอซึ่งมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง ทว่าสุดท้ายเธอก็เป็นภรรยาของเขาเพียงในนามเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะเย็นชาใส่เธอแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
หลังจากเงียบงันอยู่เพียงไม่กี่วินาที เขาก็พูดเสียงแผ่วเบา “ตกลง”
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงแล้ว ญาธิดาดีใจลิงโลด “คุณตอบตกลงแล้วนะ!”
เพราะว่าความดีใจ มือที่จับชายเสื้อของเขาเอาไว้ออกแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จังหวะนั้นเอง สีหน้าของภวินท์เปลี่ยนแปลงทันที พลางเปล่งเสียงถามอยู่ในลำคอ
“ทำ…ทำไมเหรอ?”
ญาธิดาตกใจ จนปล่อยมือตามจิตใต้สำนึก พลางมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่แข็งทื่ออยู่บ้าง และพูดอย่างเป็นห่วง “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ภวินท์พยายามเก็บงำความรู้สึก พลางตอบตามน้ำไป “ไม่มีนะ ผมยังมีธุระต่อต้องออกไปข้างนอก คุณกลับไปทำงานเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ของภวินท์แล้ว ญาธิดาไม่ได้ซักไซ้ต่อ หลังจากส่งเสียงตอบรับแล้ว จึงถอยออกจากห้องทำงานทันที
ไม่ว่าจะเป็นยังไง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขายอมกลับบ้านแล้ว!
ญาธิดาอารมณ์ดีมาก เมื่อกลับไปที่แผนกก็ส่งข้อความหาป้าจันทร์ทันที เพื่อให้เธอได้เตรียมอาหารไว้หลายๆ อย่าง
หลังจากที่ป้าจันทร์ได้ตอบกลับข้อความแล้ว ญาธิดาจึงหยิบแก้วน้ำและเดินไปยังห้องเครื่องดื่มเพื่อเทน้ำผลไม้อย่างยินดีปรีดา
ชมพู่เดินมาอยู่ด้านข้างญาธิดา และหยิบแก้วมากดน้ำอุ่น เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ จึงอดปากถามไม่ได้ “มีเรื่องอะไรถึงได้ดีใจขนาดนี้? ถึงได้แผ่รัศมีโลกสีชมพูสดใสออกมาทั่วตัว หรือว่า …กำลังมีความรัก?”
ญาธิดาโต้ตอบกลับมา และตอบแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยสัญชาตญาณ “เปล่านี่!”
แม้ว่าปากจะพูดเช่นนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด แก้มของเธอร้อนผ่าวทันที
ชมพู่หัวเราะร่าและพูดทันที “หน้าแดงแล้วเนี่ย ปากยังพูดว่าเปล่าอีก? ถ้าให้ฉันพูดนะ แกกำลังมีความรัก หรือไม่แกกำลังคิดถึงคนที่ชอบอยู่แน่ๆ!”
โดนเธอพูดออกมาเช่นนี้ ญาธิดาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไร เธอถือแก้วและรีบเดินออกเพื่อหนีเข้าห้องทำงานไปอย่างรีบร้อน พลางปิดประตูทันที
เธอเอนหลังพิงบานประตูอยู่นาน ถึงได้สงบสติอารมณ์ได้บ้าง
เธอลูบแก้มของตนเอง ที่แท้ก็ร้อนผ่าวจริงๆ ด้วย!
เมื่อครู่เธอก็แค่คิดถึงภวินท์เท่านั้นเอง…หรือว่า เธอคิดอะไรกับภวินท์จริงๆ แล้วเหรอเนี่ย?
ทันใดนั้น พลางมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ติ๊งต่อง” ญาธิดาได้สติกลับมา พลางหยิบขึ้นมาดู เป็นข้อความจากคุณหญิงปภาวี
“ธิดา แกปรึกษาหารือกับภวินท์ไปถึงไหนแล้ว? ทำไมไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย?”
เมื่อมองเห็นข้อความนี้แล้ว ญาธิดาถึงได้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดกับภวินท์เลย!
ก็คือเรื่องจัดงานแต่งงานนี่แหละ สองสามวันมานี้เธอไม่ค่อยเจอหน้าเจอตากับภวินท์เลย จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ถ้าวันนี้ภวินท์กลับบ้านมา งั้นเธอก็ต้องหาโอกาสพูดคุยกับเขาแล้วแหละ