ดวงใจภวินท์ - บทที่ 542 มองเธอแปลกหูแปลกตาไป
พยัคฆ์ไม่ได้คิดอะไรมาก จัดการเล่าเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่เว้นแม้แต่เรื่องเดียว “ทีแรกหลังจากผมรู้ว่าพี่ธิดากลับมาจากต่างประเทศ ก็แอบดูแลเธออยู่ห่าง ๆ มาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอบังเอิญเจอกับคุณนิวที่โรงพยาบาล ทั้งสองคนทะเลาะกัน…”
เมื่อได้ฟังเรื่องระหว่างญาธิดากับนิวราที่เกิดขึ้นหลังสวนหินจำลองของโรงพยาบาล ภวินท์ถึงกับขมวดคิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว
คิดไม่ถึงว่านิวราจะโหดร้ายยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก หากไม่ใช้เพราะพยัคฆ์พูดออกมาจากปากของเขาเอง เขาคงไม่มีทางเชื่อ…
พยัคฆ์เล่าตั้งแต่แรกเริ่มที่เจอกับญาธิดาและสารภาพตัวตนที่แท้จริงของตัวเองกับเธอ จนกระทั่งทั้งสองคนตกลงว่าจะตามหาภวินท์ด้วยกัน เรื่องราวทั้งหมดเขาอธิบายทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียดที่สุด
เมื่อเล่าถึงภายหลังที่พวกเขาช่วยกันตามหาเบาะแส พี่เข้มก็พูดต่อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “อันที่จริง ครั้งหนึ่งที่ธิดาทำให้ฉันนับถือมากที่สุดคือครั้งที่อยู่วัดเขาราม ครั้งนั้นพวกเราไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้บังเอิญเจอสิงโต…”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงสิงโต ภวินท์นึกถึงคำพูดพวกนั้นที่ญาธิดาพูดกับเขาตอนที่เพิ่งเจอหน้ากันในวันนี้ขึ้นมาทันที ที่แท้ เธอก็เคยเจอกับสิงโตมาก่อนจริง ๆ …
เขานิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ตอนนั้นเรื่องราวเป็นยังไง?”
พี่เข้มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนั้นอย่างสมจริงสมจัง ภวินท์ได้ฟังก็ใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ในสถานการณ์แบบนั้นเธอยังสามารถเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่กระวนกระวายและนิ่งสงบ ซึ่งมันทำให้เขามองเธอใหม่และรู้สึกแปลกหูแปลกตาขึ้นไม่น้อย
ดูเหมือนว่า ผู้หญิงที่เอาแต่ตื่นตระหนกเวลาเจอปัญหาคนนั้นในอดีตได้หายไปแล้ว ญาธิดาในตอนนี้ ทั้งอารมณ์และความคิดของเธอได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น และมันทำให้เขารู้สึกชื่นชมเธออย่างประหลาด
สุดท้าย เมื่อได้ฟังพี่เข้มพูดถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาไปตามหาเขาที่เขารามด้วยกัน ภวินท์เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างเกิดขึ้นในใจ
ถ้าเป็นอย่างที่พี่เข้มกับพยัคฆ์พูด วันนั้นพวกเขาไปที่สถานปฏิบัติธรรมเป็นแค่เหตุบังเอิญ แถมพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ข้างในสถานปฏิบัติธรรม แต่ทำไมภูผาถึงไปหาเขาได้ล่ะ?
เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองจากเบาะแสอะไรมันก็บ่งชี้ว่าภูผาตามญาธิดาไปถึงได้ค้นเจอสถานปฏิบัติธรรม แต่ว่าญาธิดาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม แต่ทำไมภูผาถึงได้มั่นใจตำแหน่งที่อยู่ของเขาขนาดนั้น?
เบาะแสเรื่องนี้ดูเหมือนจะมาถึงทางตัน ทำยังไงก็ไม่สามารถแก้มันได้
ภวินท์เริ่มปวดหัวขึ้นมา เขาฟังคำบอกเล่าของพี่เข้มกับพยัคฆ์อย่างเหม่อลอยไม่มีสมาธิ คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง
“คุณภวินท์”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของพี่เข้ม ภวินท์ก็ได้สติกลับมา พี่เข้มจึงถามเขาต่อว่า “ขั้นต่อไปพวกเราจะต้องทำตามที่คุณบอกไว้?”
ภวินท์พยักหน้าและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำตามที่ฉันบอก อย่าให้ภูผารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวใด ๆ เด็ดขาด และคอยรับประกันความปลอดภัยของเธอ”
พี่เข้มกับพยัคฆ์ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน “เข้าใจแล้วครับ!”
ภวินท์พยักหน้าเล็กน้อย “โอเค พวกนายไปเตรียมตัวเถอะ”
ภวินท์มองพวกเขาจากไปและนั่งอยู่ในส่วนต่อคนเดียวอีกสักพัก ก่อนจะบังคับรถเข็นให้หันตัวกลับไป
เรื่องในครั้งนี้เป็นปืนนัดแรกระหว่างเขากับภูผาที่ถูกยิงออกมา เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองมีจุดอ่อนใด ๆ ตกไปอยู่ในมือของภูผาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องกุมอำนาจของการเป็นผู้เริ่มเกมมาไว้ในมือของตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม
เขาเข็นวีลแชร์เข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงด้านในเขาก็เหลือบมองไปทางห้องอาหารโดยไม่รู้ตัว ญาธิดายังคงทานอาหารอยู่ และทำเหมือนมองไม่เห็นเขาเหมือนอย่างเคย
คุณป้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม “คุณภวินท์ อาหารเย็นพร้อมแล้ว ทานสักหน่อยเถอะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็เหลือบมองไปยังอาหารค่ำที่ตั้งอยู่ข้างญาธิดาที่เตรียมเอาไว้ให้เขาโดยเฉพาะ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ”
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ญาธิดาก็วางตะเกียบ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับคุณป้าด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้าคะ ฉันทานเสร็จแล้ว อร่อยมากค่ะ”
หลังจากพูดคำเหล่านี้ออกไปอย่างสุภาพแล้ว เธอก็หันตัวเดินจากไป สายตากวาดมองผ่านเขาไปโดยไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่นิดเดียว
ภวินท์ตะลึงเล็กน้อย เหลือบตามองโจ๊กบนโต๊ะที่เธอยังทานไม่เสร็จ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
ญาธิดาทานเสร็จที่ไหนกันล่ะ เธอก็แค่ไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเขา ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกินข้าวเย็นกับเขาก็เท่านั้น
ทันใดนั้นไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้นมาทันที
คิดไม่ถึงว่าแค่ทานข้าวด้วยกันกับเขาแค่นี้เธอก็ทำไม่ได้แล้ว
แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่สุดท้าย เขาก็ระงับความโกรธเอาไว้ และทานอาหารเย็นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
ไม่รู้ว่าทำไม ความสัมพันธ์ของเขากับญาธิดาในตอนนี้ยิ่งแข็งกระด้างและเหินห่างออกไปเรื่อย ๆ ตอนแรกทั้งสองคนเข้าใจผิดกัน แต่ตอนนี้เรื่องก็ค่อย ๆ คลี่คลายแล้ว แต่ทั้งคู่กลับเบื่อหน่ายรังเกียจกัน ขิงก็รา ข่าก็แรง ต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร
ช่างมันละ
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายก็ทำได้แค่ทิ้งเรื่องกวนใจทั้งหมดเอาไว้ข้างหลังและไม่ไปคิดถึงมันอีก
ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือต้องคิดให้ออกว่าจะรับมือกับภูผาต่อไปยังไง
ตกกลางคืน
พระจันทร์ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก ส่องแสงมืดสลัว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนกลางวันนอนมากเกินไปหรือเปล่า ญาธิดาพลิกตัวไปมาจนตกดึก แต่ก็ยังไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด
เมื่อกลางวัน หลังจากเธอโทรไปหาธีทัต พอวางสายเธอก็กดปิดเครื่องไปเลยทันที พอตกกลางคืนเธอเปิดเครื่องอีกครั้งก็พบว่าธีทัตไม่ได้โทรมาหาอีก แม้แต่ข้อความก็ไม่มีส่งมาเลยสักฉบับ
เธอรู้สึกผิดในใจอย่างอธิบายไม่ถูก เกรงว่าครั้งนี้คงจะทำร้ายจิตใจของธีทัตเข้าแล้วจริง ๆ
เมื่อเย็น เธอบอกกับคุณปภาวีว่าเธอมีธุระบางอย่างและไม่สามารถกลับแกรนด์ บูเลอวาร์ดได้ ให้พวกเขาดูแลอีธานกับเอลล่าให้ดี คุณปภาวีก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่ส่งคลิปวิดีโอสั้น ๆ มาให้เท่านั้น
ในวิดีโอ อีธานเอลล่ากำลังถูกคุณปภาวีเร่งให้ไปอาบน้ำล้างตัว เด็กน้อยสองคนคุยกันเจี้ยวจ้าว ทั้งน่ารักทั้งตลก
พอตกดึกญาธิดานอนไม่หลับก็ได้แต่เปิดคลิปวิดีโอนั้นดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า มุมปากกระตุกยิ้มอย่างอดไม่ได้
ครั้งหนึ่ง เธอเคยถามตัวเองว่าเคยเสียใจที่คลอดเด็กน้อยสองคนนี้ออกมาโดยไม่ลังเลบ้างไหม คำตอบของเธอคือ ไม่เคย
ไม่ว่าจะยากหรือลำบากแค่ไหน ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป เธอก็ยังรู้สึกเสมอว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้องทั้งหมด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียง “ตุ๊บ”ดังขึ้นจากด้านนอกประตู ญาธิดาตกตะลึงเล็กน้อย เธอคิดว่าตัวเองแค่หูฝาดไปเอง
เสียงนั้นเหมือนจะดังมาจากทางเดิน ซึ่งมันห่างจากตำแหน่งที่เธออยู่ตอนนี้มากพอสมควร ญาธิดาปิดโทรศัพท์ ลุกขึ้นนั่ง กลั้นหายใจและฟังอย่างเงียบ ๆ
ข้างนอกดูเหมือนจะมีเสียงบางอย่างดังอยู่แผ่วเบา ถ้าไม่ตั้งใจฟังก็คงจะไม่ได้ยิน ญาธิดา รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอค่อย ๆ ลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตูเพื่อแนบหูฟัง
ไม่มีเสียงอะไรแล้ว หรือว่าเธอหูฝาดไปอย่างนั้นเหรอ?
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หมุนลูกบิดเปิดประตูแล้วเดินออกไป หน้าประตูไม่มีอะไร แต่เมื่อเธอมองไปทางระเบียงทางเดิน ก็พบว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ตรงบันได มองจากมุมที่เธออยู่ เธอมองเห็นแค่เพียงครึ่งตัวเท่านั้น…
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมความกล้า ก้าวออกไปข้างหน้า จนกระทั่งเดินมาถึงบันไดเธอถึงพบว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นภวินท์นั่นเอง!
รถเข็นของเขาตกอยู่กลางบันได เหมือนว่าจะลื่นไถลลงไปจากบันไดด้านบน ส่วนตัวเขากำลังนั่งอยู่บนบันไดด้านบนด้วยสีหน้าแปลก ๆ
เมื่อเขาเห็นเธอ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเขินอายและอึดอัด แต่ก็แค่แป๊ปเดียวเท่านั้น
ญาธิดามองภาพเหตุการณ์ตอนนี้ก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้ว ภวินท์คงอยากจะลงไปข้างล่าง แต่เพราะเขานั่งอยู่บนรถเข็นคนเดียว และไม่ทันระวังก็เลยหกล้อมลงไป
มุมด้านข้างบันไดออกแบบกระดานลาดเอียงเอาไว้ คงเพื่อให้เขาขึ้นลงสะดวกถึงได้ทำเอาไว้ แต่การที่ให้เขาเข็นรถเข็นขึ้นลงคนเดียวแบบนี้ก็ค่อนข้างอันตรายมากอยู่เหมือนกัน
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าอ่อนลงไปเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ทางที่ดีอย่าขึ้นลงบันไดคนเดียวแบบนี้เลยจะดีกว่า”
ขณะที่พูด เธอก็เดินลงไปสองสามก้าว ดึงรถเข็นที่นอนเอียงอยู่บนบันไดตั้งตรง ก่อนจะเลื่อนไปยังชั้นบนสุด