ดวงใจภวินท์ - บทที่ 55 ตกลงปลงใจว่าเป็นคุณแล้ว
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ญาธิดาจัดการเก็บของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เตรียมตัวพร้อมกลับบ้านได้ทุกเมื่อ
ใครเล่าจะรู้ว่าตอนที่เธอเตรียมตัวจะกลับนั้น กลับถูกพิชญ์สินียืนขวางอยู่ตรงประตูห้องทำงาน
พิชญ์สินีกวาดตามองกระเป๋าในมือของเธอแวบหนึ่ง พลันเลิกคิ้วพูด “นี่กำลังเตรียมตัวจะกลับแล้วใช่มั้ย?”
ญาธิดาเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนติดอยู่ข้างกำแพง “ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่”
STN Group เป็นบริษัทที่มีมนุษยธรรมมาก โดยวันปกติแล้วจะไม่ค่อยทำงานโอที นอกจากเวลาที่ค่อนข้างยุ่ง เพื่อเร่งทำงานให้ทัน บรรดาพนักงานจะอยู่ทำงานต่อ
“จัดการเอกสารพวกนี้ให้เสร็จแล้วค่อยกลับ”
พิชญ์สินีกลอกตามองบน พลางยัดเอกสารกองหนึ่งที่อยู่ในมือให้เธอ
ญาธิดาเหลือบมอง เอกสารตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าจัดการและจัดเรียงเอกสารทั้งหมดจนเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทว่าเธอได้นัดหมายกับภวินท์เอาไว้แล้วว่าจะกลับบ้านไปกินข้าวด้วยกัน…
เมื่อเห็นว่าพิชญ์สินีแสดงท่าทางว่าจะเดินออกไป ญาธิดาจึงได้ออกไปเรียกรั้งเธอเอาไว้ “รอเดี๋ยวสิ!”
พิชญ์สินีหันศีรษะกลับ “ทำไมล่ะ?”
ญาธิดาพูดเน้นย้ำทีละคำ “งานฉันวันนี้ทำเสร็จหมดแล้ว มีด้วยเหรอพอถึงเวลาเลิกงานแล้วมาแบ่งงานให้ทำอะ?”
พิชญ์สินีไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าญาธิดาจะหัวแข็งขนาดนี้ เธอย่นคิ้วเล็กน้อย “ทำไม แบ่งงานให้เธอทำแล้วเธอก็ไม่ทำได้ด้วยเหรอ?”
ญาธิดาไม่ยอมอ่อนข้อให้ พลางพูดเน้นย้ำทุกคำ “วันนี้ฉันมีธุระ ทำไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณอยากจะแสดงความคิดเห็นกับฉัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปหาพี่แนนด้วยกันเพื่อให้เธอลงความเห็น”
เธอกับพิชญ์สินีตำแหน่งงานเท่าเทียมกัน โดยวันปกติแล้วเธอแบ่งงานให้เธอทำ เธอก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเลย ทว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเลิกงานแล้ว ซึ่งเธอไม่มีความจำเป็นต้องผ่อนปรนให้เธอทุกเรื่องนี่
เมื่อหลุดปากพูดประโยคนี้ออกไป ญาธิดาก็เดินออกจากห้องทำงานทันที พลางทิ้งพิชญ์สินียืนกลอกตาอยู่จุดเดิม
เธอตาลีตาเหลือกออกจากบริษัท ซึ่งเป็นช่วงเลิกงานการจราจรคับคั่งพอดี จนกลับมาถึงบ้านนั้น ภวินท์เสร็จธุระจากเรื่องนอกบ้านจนกลับมาแล้ว
เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา จึงมองเห็นป้าจันทร์กำลังจัดวางจานชามบนโต๊ะอาหารอยู่
“คุณนาย กับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว คุณไปล้างมือก่อนค่ะ แล้วไปเรียกคุณชายที่อยู่ชั้นบนให้ลงมากินข้าวด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ”
ญาธิดาวางกระเป๋าลง พลางกอดอาการตื่นเต้นเล็กน้อย และเดินขึ้นชั้นสองอย่างกระโดดโลดเต้น
เธอเดินมาถึงห้องนอน และผลักบานประตูเดินเข้าไปในห้อง จึงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องน้ำ เธอเดินมาถึงประตู ตอนที่เธอเตรียมจะเคาะประตูกระจก จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอึมครึมของชายหนุ่มดังออกมา
น้ำเสียงไม่ดังนัก เป็นแค่เสียงสั้นไม่กี่คำ ทว่าญาธิดายังหน้าแดงตามอยู่เล็กน้อย
ภวินท์เขาทำอะไร…อยู่ในนั้นนะ?
เวลานั้น ด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเธอรู้อยู่เต็มอกว่าการทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง ทว่ายังอดใจไม่ได้จนต้องค่อยๆ แง้มบานประตูห้องน้ำออกเล็กน้อย
ท่อนบนที่กำลังโป๊เปลือยของชายหนุ่ม และหันหลังให้ประตู กล้ามเนื้อทางด้านหลังที่แข็งแรงเป็นลอนกล้ามทุกมัดมีพลังอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่าบริเวณช่วงเอวด้านหลังของเขานั้น กลับมีบาดแผลที่มีเลือดไหลอาบ ที่แดงแจ๋จนเตะตา
ญาธิดาตัวสั่นทันที และรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไม่รู้ตัว และถอยหลังออกหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
เขา…นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย!
ภวินท์ได้ยินเสียงทางด้านหลัง พลันหันขวับกลับมาทันที “ใคร!”
จังหวะที่เห็นญาธิดาอยู่ตรงประตูนั้น แววตาอันเย็นยะเยือกตื่นตัวคู่นั้นค่อยๆ สงบลงไปเยอะ
เขารีบเอาผ้าก๊อซมาปิดบาดแผลอย่างเร่งรีบ พลางเอาเสื้อคลุมอาบน้ำที่อยู่ด้านข้างหยิบติดมือมาพาดลงบนร่างกายตัวเอง และออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม “ออกไปรอผมข้างนอก”
ญาธิดาหลุดจากอาการตกอกตกใจและหวาดหวั่นได้ วินาทีอยู่ชั่วพริบตา จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องน้ำทันที
เธออ้าปากพูด น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย “ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหรือคะ?”
ภวินท์ย่นคิ้ว “คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
“ภวินท์!”
จู่ ๆ ญาธิดาก็ทำเสียงสูงขึ้นทันที น้ำเสียงที่เรียกชื่อของเขานั้นดูเคร่งขรึมขึ้นจากนั้น เธอก็เดินจ้ำอ้าวมาทางด้านหน้า พลางยื่นมือออกไปจับมือของเขาโดยที่ไม่ความลังเลสักนิด “ทำไมต้องปิดบังฉันด้วย…”
เขาสามารถไม่บอกเธอว่าไปบาดเจ็บมาได้อย่างไร และสามารถไม่บอกเธอว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ว่าอย่างน้อยเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บมายังต้องบอกเธอสิ!
ภวินท์ขมวดคิ้วไว้แน่น พลางเตรียมจะอ้าปากเพื่อให้เธอออกไป ทว่าใครเล่าจะรู้เมื่อตอนหันศีรษะกลับมานั้น ก็เห็นดวงตาน้ำตาคลอเบ้าของญาธิดา และเบ้าตาแดงก่ำ
เธอกลับอ้าปากพูด น้ำตาก็ไหลรินลงไปทางด้านล่าง “คุณไม่ยอมบอกฉันว่าคุณบาดเจ็บ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณไม่เคยเห็นฉันเป็นภรรยาของคุณมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ย?”
ภวินท์ได้ยินแล้ว หัวใจจมดิ่งลงทันที
หัวไหล่ญาธิดาสั่นเทิ้ม และร้องไห้ราวกับคนเจ้าน้ำตา “คุณตอบฉันมาสิ…”
ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย หลังจากนิ่งอยู่ชั่วครู่แล้ว ในที่สุดก็ยอมพูดเสียงแผ่วเบา “มีบางเรื่อง รู้เรื่องแค่คนเดียวก็พอแล้ว ธิดา คุณไม่ใช่ผม ไม่มีวันเข้าใจหรอก”
ญาธิดาชูมือขึ้น และใช้มือปาดน้ำตาตัวเองเป็นพัลวัน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปแหวกชุดคลุมอาบน้ำของเขา
มองจากระยะห่างแค่นี้ เธอจึงพบว่าบนร่างกายของภวินท์ไม่ได้มีแค่แผลเดียว ทั้งแขน ทั้งช่วงเอวต่างมีรอยบาดแผลเก่าอยู่แล้ว เธอยื่นมือออกไป และสัมผัสกับรอยแผลเป็นสีขาวเหล่านั้น จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่และไหลรวยรินออกมา
ภวินท์ค่อยๆ เบนศีรษะไปทางด้านข้าง พลางพูดเสียงเข้ม “ญาธิดา ผมไม่ได้ดีเลิศตามจินตนาการของคุณขนาดนั้น คุณไม่มีความจำเป็นต้องร้องไห้ให้ผม มันไม่คุ้มกัน”
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ญาธิดายิ่งทรมานหนักกว่าเก่า เธอร้องไห้จนหัวไหล่สั่นไหว และพูดเสียงสะอึกสะอื้น “แต่ว่าฉันตกลงปลงใจกับคุณไปแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันคุ้มค่าก็คุ้มสิ! ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดีหรือคนเลว คุณก็เป็นสามีฉันนะ…”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ราวกับก้อนหินก้อนมหึมา ที่มันหล่นลงบนห้องหัวใจของภวินท์ จนกระเพื่อมกระทบไปทั่ว
เขาเบนศีรษะกลับมา มองแพขนตาที่กำลังสั่นเทาของหญิงสาว และเริ่มบ่นพึมพำ
“คุณจะต้องเสียใจภายหลัง”
ถ้าเธอรู้ถึงเป้าหมายอันแท้จริงของเขาในการขอเธอแต่งงานแล้ว เธอต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน
“ฉันไม่มีวัน…” ญาธิดาตอบปฏิเสธอย่างไม่มีการลังเลแต่อย่างใด และเริ่มพูดพึมพำ “ฉันตกลงปลงใจกับคุณแล้ว!”
ความรู้สึกของภวินท์นั้นทั้งสับสนและเจ็บปวด ความรู้สึกละอายใจที่อัดแน่นเต็มอกที่มีต่อเธอมันตีกลับเป็นคลื่นกลับมาอีกครั้ง ทว่าในวินาทีนี้เอง เขาไม่สามารถคำนึงอะไรมากมายแล้ว
เขายื่นมือออกไปข้างหนึ่ง จากนั้นก็ดึงหญิงสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “ไม่ต้องร้องไห้นะ”
ญาธิดากลั้นน้ำตาตัวเองไม่อยู่ พลางยื่นมือออกมาปาดน้ำตาเป็นพันวัน “ฉัน..ฉันปวดใจ…”
เธอปวดใจซึ่งเดิมเขาไม่ได้ทำตัวสูงส่งเจิดจรัสขนาดนั้นตามสิ่งที่แสดงออก ที่เธอปวดใจนั้นก็คือการที่เขาต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานอย่างขมขื่นเช่นนี้ตั้งมากมายอยู่คนเดียว
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ภวินท์พลางยกมุมปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนพูดว่าปวดใจแทนเขา ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขามีภาพลักษณ์ที่ยืนหยัดหนักแน่นไม่มีทางอ่อนข้อให้ต่อหน้าคนอื่น
เรื่องนี้เอง หัวใจของเขาอ่อนระทวยให้เธอไปเยอะพอควร
เมื่อมองท่าทางเสียใจจนปลายจมูกแดงแจ๋ของเธอแล้ว ภวินท์ก้มหน้าลง จากนั้นก็ประกบริมฝีปากเธอ
วินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกันนั้น ทั้งสองคนต่างตกตะลึงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเช่นนี้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันที่ตนเองจะทำเช่นนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วินาทีต่อมานั้น ร่างกายของทั้งสองคนเหมือนมีแรงผลักออกจากกันในเวลาเดียวกัน ทว่าแววตานั้นยังสบตากันอยู่ ชั่ววินาทีนั้น บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นเคอะเขินทันที
ญาธิดาทำตาโต และกลั้นลมหายใจเอาไว้ ราวกับแน่นิ่งไปแล้ว
ส่วนภวินท์นั้นตั้งสติได้ก่อน เขากระแอมออกมาสองครั้ง และเบนสายตาและดึงเสื้อคลุมอาบน้ำบนตัวให้ดี จากนั้นก็พูดทันที “อาหารเย็นน่าจะทำเสร็จแล้ว”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินออกจากห้องน้ำทันที
กระทั่งร่างกายของชายหนุ่มหายไปจากสายตาของเธอแล้ว ญาธิดาถึงได้คิดจะหายใจได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และคลี่มุมปากยิ้มไปพร้อมกัน และฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย
การจูบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น แม้ว่าจะเร็วเพียงแค่สองวินาที ทว่ากลับหวานชื่นเสียจริง
เธอตบแก้มที่ร้อนผ่าว และแสร้งทำตัวสงบนิ่งลงไปยังชั้นล่าง
ภวินท์นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสีหน้าเป็นปกติทุกอย่างอย่างไม่มีข้อแตกต่าง
ญาธิดานั่งลง ป้าจันทร์ที่กำลังตักน้ำซุปอยู่ทางด้านข้างอดใจถามไม่ไหว “ทำไมถึงแดงขนาดนี้ล่ะ?”
ญาธิดาราวกับตอบทันควัน “หา? เปล่าค่ะ ฉันร้อนมากเลยค่ะ หน้าเลยแดง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!”
หลังจากที่เธอได้อธิบายจนหมดเปลือกแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบสงบจนน่ากลัว
เธอเงยหน้าขึ้น และมองสีหน้าป้าจันทร์ที่จ้องมองเธอด้วยความสงสัย “ป้าพูดว่าทำไมครั้งนี้ต้มถั่วเขียวต้มจนกลายเป็นสีแดงขนาดนี้ล่ะ คุณนาย คุณกำลังพูดอะไรอยู่เหรอคะ?”
ญาธิดาตกตะลึงทันที ถึงได้ค้นพบว่าป้าจันทร์กำลังตักต้มถั่วเขียวอยู่ เธอดันไปคิดว่า…
ความรู้สึกของภวินท์นั้นทั้งสับสนและเจ็บปวด ความรู้สึกละอายใจที่อัดแน่นเต็มอกที่มีต่อเธอมันตีกลับเป็นคลื่นกลับมาอีกครั้ง ทว่าในวินาทีนี้เอง เขาไม่สามารถคำนึงอะไรมากมายแล้ว
เขายื่นมือออกไปข้างหนึ่ง จากนั้นก็ดึงหญิงสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “ไม่ต้องร้องไห้นะ”
ญาธิดากลั้นน้ำตาตัวเองไม่อยู่ พลางยื่นมือออกมาปาดน้ำตาเป็นพันวัน “ฉัน..ฉันปวดใจ…”
เธอปวดใจซึ่งเดิมเขาไม่ได้ทำตัวสูงส่งเจิดจรัสขนาดนั้นตามสิ่งที่แสดงออก ที่เธอปวดใจนั้นก็คือการที่เขาต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานอย่างขมขื่นเช่นนี้ตั้งมากมายอยู่คนเดียว
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ภวินท์พลางยกมุมปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนพูดว่าปวดใจแทนเขา ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขามีภาพลักษณ์ที่ยืนหยัดหนักแน่นไม่มีทางอ่อนข้อให้ต่อหน้าคนอื่น
เรื่องนี้เอง หัวใจของเขาอ่อนระทวยให้เธอไปเยอะพอควร
เมื่อมองท่าทางเสียใจจนปลายจมูกแดงแจ๋ของเธอแล้ว ภวินท์ก้มหน้าลง จากนั้นก็ประกบริมฝีปากเธอ
วินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกันนั้น ทั้งสองคนต่างตกตะลึงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเช่นนี้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันที่ตนเองจะทำเช่นนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วินาทีต่อมานั้น ร่างกายของทั้งสองคนเหมือนมีแรงผลักออกจากกันในเวลาเดียวกัน ทว่าแววตานั้นยังสบตากันอยู่ ชั่ววินาทีนั้น บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นเคอะเขินทันที
ญาธิดาทำตาโต และกลั้นลมหายใจเอาไว้ ราวกับแน่นิ่งไปแล้ว
ส่วนภวินท์นั้นตั้งสติได้ก่อน เขากระแอมออกมาสองครั้ง และเบนสายตาและดึงเสื้อคลุมอาบน้ำบนตัวให้ดี จากนั้นก็พูดทันที “อาหารเย็นน่าจะทำเสร็จแล้ว”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินออกจากห้องน้ำทันที
กระทั่งร่างกายของชายหนุ่มหายไปจากสายตาของเธอแล้ว ญาธิดาถึงได้คิดจะหายใจได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และคลี่มุมปากยิ้มไปพร้อมกัน และฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย
การจูบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น แม้ว่าจะเร็วเพียงแค่สองวินาที ทว่ากลับหวานชื่นเสียจริง
เธอตบแก้มที่ร้อนผ่าว และแสร้งทำตัวสงบนิ่งลงไปยังชั้นล่าง
ภวินท์นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสีหน้าเป็นปกติทุกอย่างอย่างไม่มีข้อแตกต่าง
ญาธิดานั่งลง ป้าจันทร์ที่กำลังตักน้ำซุปอยู่ทางด้านข้างอดใจถามไม่ไหว “ทำไมถึงแดงขนาดนี้ล่ะ?”
ญาธิดาราวกับตอบทันควัน “หา? เปล่าค่ะ ฉันร้อนมากเลยค่ะ หน้าเลยแดง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!”
หลังจากที่เธอได้อธิบายจนหมดเปลือกแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบสงบจนน่ากลัว
เธอเงยหน้าขึ้น และมองสีหน้าป้าจันทร์ที่จ้องมองเธอด้วยความสงสัย “ป้าพูดว่าทำไมครั้งนี้ต้มถั่วเขียวต้มจนกลายเป็นสีแดงขนาดนี้ล่ะ คุณนาย คุณกำลังพูดอะไรอยู่เหรอคะ?”
ญาธิดาตกตะลึงทันที ถึงได้ค้นพบว่าป้าจันทร์กำลังตักต้มถั่วเขียวอยู่ เธอดันไปคิดว่า…
นี่มันช่างน่าอายชะมัด!
พลางกวาดสายตามองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่ม ธิดารีบพูดเน้นย้ำทันที “ฉัน…ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่”