ดวงใจภวินท์ - บทที่ 550 แลกเปลี่ยนการค้า
บทที่ 550 แลกเปลี่ยนการค้า
ทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณย่าพูดจริง ๆ หลายวันมานี้ธีทัตไม่ได้โทรหาเธออีกเลย แม้แต่ส่งข้อความก็ไม่มี
ญาธิดารู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนี้เขาต้องโกรธแล้วแน่ ๆ
เพราะว่าโกรธ ก็เลยไม่ได้ติดต่อไปหาเขาเลย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “บางทีเขาอาจจะยุ่ง…”
“เด็กโง่! ใครที่ไหนที่จะยุ่งถึงขนาดไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรศัพท์หรือส่งข้อความเลยแบบนี้?”
คุณย่าอยากจะพูดต่ออีกสองสามประโยค แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ภวินท์ก็เข็นรถเข็นเข้ามาใกล้แล้วถามว่า “ใครไม่มีเวลา?”
ทันใดนั้น ญาธิดาถึงกับตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
เมื่อคุณย่าเห็นแบบนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาพลางกลอกตาใส่เขา “โบราณว่าอยู่ใกล้น้ำจะได้ดวงจันทร์ก่อน สองวันมานี้โอกาสมีออกมากมาย แต่กลับไม่เห็นแกทะนุถนอมคนตรงหน้าบ้างเลย”
พูดจบเธอก็พ่นลมใส่ภวินท์อย่างไม่พอใจ พลางตบมือปัดเศษฝุ่นเศษดินออก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างไม่พอใจ
ภวินท์ถึงกับมึนงงไปเลยทันที เขาไม่เข้าใจคำพูดของคุณย่าเลยสักนิด เขาหันไปมองญาธิดาอย่างแปลกใจ ยิ่งพอเห็นว่าเธอทำเป็นยุ่ง ไม่ยอมมองเขาแบบนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อกี้เธอกับคุณย่ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไร แค่คุยไปเรื่อย”
ญาธิดายังคงไม่ยอมเงยหน้า ยังคงจัดแจงกระถางดอกไม้พวกนั้นต่อไป
สำหรับคำตอบนี้ของเธอ ภวินท์ไม่พอใจมากอย่างเห็นได้ชัด เขาขับรถเข็นไปข้างหน้าตามขั้นบันได พอเข้าใกล้เธอแล้วก็หยุดก่อนจะถามด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มว่า “คุณย่าพูดเกี่ยวกับให้พวกเรากลับมาคืนดีกันทำนองนั้นอีกแล้วใช่ไหม?”
สองวันมานี้ คุณย่าก็เอาแต่ร่ายคำพูดพวกนี้กรอกหูเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เขาเดาสิ่งที่อยู่ในใจของเธอได้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อกี้ตอนฟังคำพูดของคุณย่าทีแรกเขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถเดาได้ว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร
มือของญาธิดาชะงักนิ่งไปเล็กน้อย พลางมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะปรับเป็นปกติ แล้วพูดนิ่ง ๆ ว่า “คุณคิดว่าเรื่องอะไรก็เรื่องนั้นแหละ”
ภวินท์สีหน้ายิ้มแย้ม ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถามขึ้นว่า “แล้วเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้?”
ญาธิดาอึ้งไปอีกครั้ง พอเหลือบตาขึ้นก็บังเอิญสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม มันงดงามราวกับดวงดาวเจิดจ้า มองไปมองมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมดิ่งเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งสองคนมองหน้ากัน บรรยากาศโดยรอบทุกอย่างกำลังดี พร้อมกับเสียงหัวใจของเธอที่เริ่มจะเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้อย่างกะทันหันและรีบเบือนสายตามองไปทางอื่น พลางลงมือทำสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ต่อไปแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉันไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น”
ภวินท์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ได้ยินแบบนั้น เขายื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเธอที่กำลังเล่นดอกไม้อยู่เอาไว้
หลังมือรู้สึกร้อนผ่าว ญาธิดายิ่งใจเต้นแรง และรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก เธอนึกว่าเขาจะทำอะไรที่เกินกว่านี้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะแค่หรี่ตาลงมองเศษดินบนมือของเธอและพูดเบา ๆ ว่า “ไปล้างมือแล้วเตรียมตัวให้พร้อม ถึงเวลาทำเรื่องจริงจังแล้ว”
เขาดูจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ท่าทีสบาย ๆ พูดติดตลกอย่างเมื่อกี้ได้หายไปแล้ว เธอเองก็ต้องจริงจังขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่ถอนหายใจแล้วถามว่า “จะไปแลกเปลี่ยนการค้ากันแล้วเหรอ?”
ภวินท์ปล่อยมือแล้วหมุนรถเข็นอย่างช้า ๆ และพูดเบา ๆ ว่า “อืม ไปแลกเปลี่ยนการค้ากัน”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อนึกถึงเกล้าแก้วที่ถูกขังอยู่ในห้องมืด ความรู้สึกอันสับสนซับซ้อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
สิบนาทีต่อมา ภายในห้องทำงานที่กว้างขวางโอ่อ่าและสว่างไสว ภูผานั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ และทันใดนั้นก็มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นมาต่อสายตาของเขา เขาหรี่ตาลงพร้อมด้วยสีหน้าที่เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
ในข้อความมีข้อความเขียนว่า “เจอกันที่อ่าวมะพร้าวตอนหนึ่งทุ่ม”
ข้อความไม่มีชื่อ ส่งมาจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่แค่เห็นประโยคเหล่านี้ ภูผาก็สามารถเดาได้แล้วว่าเจ้าของข้อความนี้เป็นใคร
เพราะมันเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากภวินท์
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกมุมปากยิ้มพร้อมกับแววตาที่เยือกเย็นลงเล็กน้อย
นับตั้งแต่ที่ภวินท์โพสต์คลิปวิดีโอนั้นออกมาเขาก็รู้แล้วว่า พวกเขาจะได้พบหน้ากับในไม่ช้าก็เร็ว ๆ นี้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเร็วมากขนาดนี้
เพียงไม่นานท้องฟ้าก็มืดลง เวลาเคลื่อนมาถึงช่วงเลิกงาน ตามถนนเริ่มจะครึกครื้นขึ้นมาก และแถวริมชายฝั่งของอ่าวมะพร้าวที่ไกลออกไปมีผู้คนน้อยมาก
ช่วงนี้อากาศค่อนข้างเย็น แถวชายหาดอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก และคนปกติก็ไม่มีทางเลือกไปเดินเล่นท่องเที่ยวแถวชายหาดในเวลานี้แน่ เพราะหลังจากที่ท้องฟ้ามืดลง ผู้คนก็จะเริ่มน้อยลงตามไปด้วย
รถหลายคันจอดอยู่ริมชายหาด ไม่นานผู้ชายหลายคนก็ลงมาจากรถ ก่อนจะผลักผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกมัดมือไว้ให้เดินไปตรงพื้นที่โขดหิน
พวกเขาพาเธอผ่านพื้นที่โขดหินมาและตรงไปยังจุดที่ใกล้ทะเลมากที่สุด และสุดท้ายก็หยุดอยู่บนหินราบขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงริมขอบหน้าผาของทะเล พายุพาภวินท์ลงมาจากรถอย่างไม่รีบร้อน และรออยู่ข้าง ๆ รถ สักพักญาธิดาก็ตามลงมาด้วยเหมือนกัน
ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากแนวโขดหินพวกนั้นมากนัก พอจะมองเห็นเกล้าแก้วที่อยู่บนโขดหินใหญ่ถูกลมปะทะหน้าจนเส้นผมปลิวไสวตลอดจนสีหน้าที่ดูค่อนข้างหวาดกลัวของเธอได้อย่างชัดเจน
เธอยืนอยู่ตรงริมขอบของโขดหินใหญ่ ขาของเธอสั่นเทา ถ้าเท้าลื่นตกลงไปจากตรงนี้ก็คงจะจมอยู่ท่ากลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก ไม่ก็ชนเข้ากับโขดหินในทะเล สรุปแล้วก็คือ ไม่ว่ายังไง ก็มีแต่ตายกับตาย
เกล้าแก้วเริ่มจะหวาดกลัว
ญาธิดายืนอยู่ข้างรถเข็นของภวินท์ มองตรงไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่บนโขดหินใหญ่ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำออกมาว่า “แก้วกลัวความสูงมาก”
เรื่องนี้เธอรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนยังเด็กพวกเธอทั้งสองคนคุยกันแทบทุกเรื่อง และเธอเคยพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังด้วยเหมือนกัน
เมื่อภวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นได้ยิน เขาก็เลิกคิ้วเหลือบมองญาธิดาเล็กน้อย ก่อนจะพูดยิ้ม ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อนได้ไหม?”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ “เรื่องอะไร?”
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่หันไปมองทะเลที่กำลังไหลเชี่ยวด้วยแววตาที่ดูซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
ญาธิดาพยายามครุ่นคิดและเพียงชั่วครู่เธอก็คิดออกในทันที
เมื่อห้าปีที่แล้วเธอตัดสินใจจากไปก็เพราะเรื่องนั้น ตอนนั้นเธอกำลังตั้งท้อง แต่กลับถูกคนอื่นเอาตัวไปผูกติดไว้กับบันไดตรงหอคอยกลางทะเล มองน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะได้จมน้ำตายมาแล้วหนึ่งครั้ง
ความทรงจำในครั้งนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธออย่างรวดเร็ววราวกับสายฟ้าแลบ ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังในตอนนั้นก็โหมกระหน่ำเข้ามาด้วยเหมือนกัน
เมื่อเห็นใบหน้าของเธอซีดลง ภวินท์ก็ได้แต่หลับตาลง เม้มริมฝีปากแน่น และเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ประสบการณ์ในครั้งนั้น สำหรับเขาเองก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
ก็เป็นอย่างที่ญาธิดาบอก เกล้าแก้วกลัวความสูง ส่วนเขากลัวทะเล เขาเป็นโรคกลัวน้ำลึก แต่ตอนนั้นเพื่อจะลงไปช่วยญาธิดา เขาอยากจะช่วยเธอเลยไม่มีทางเลือกอื่น
เรื่องเมื่อห้าปีที่แล้วก็ถึงเวลาจะคิดบัญชีแล้วเหมือนกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกรถดังสะท้อนมาจากริมถนนเลียบชายฝั่ง และมันได้ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไปทางนั้น
รถหลายคันขับเข้ามาจอ ตามด้วยกลุ่มคนชุดดำที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ทางด้านที่พวกเขาอยู่
ในขณะเดียวกัน ทุกคนบนรถของทางฝ่ายเขาก็ลงมาจากรถ ก่อนจะห้อมล้อมภวินท์กับญาธิดาเอาไว้เพื่อกั้นพวกเขาออกจากภายนอก
ส่วนคนที่อยู่ทางโขดหินก็เริ่มจะทยอยเตรียมตัว ทุกคนดูกระตือรือร้นและประหม่ามาก
และการต่อสู้ในครั้งนี้เหมือนกับลูกธนูที่ขึ้นสายไว้เต็มเหนี่ยวและจำต้องยิงมันออกไป