ดวงใจภวินท์ - บทที่ 564 เก็บไพ่ใบสุดท้าย
บทที่ 564 เก็บไพ่ใบสุดท้าย
ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอจะกล่าวแบบนี้ ภวินท์ยกริมฝีปากขึ้น จากนั้นให้พยัคฆ์ย้ายอาหารไปที่เตียงผู้ป่วยที่มีโต๊ะขนาดเล็กในตัว
ญาธิดาคีบเกี๊ยวนึ่งมาหนึ่งชิ้นแล้วก็ยัดใส่ปากทันที เธอเพิ่งจะหรี่ตาลงอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้นก็พบว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ กำลังจ้องมองมาที่เธอ
แก้มของเธอจึงร้อนผ่าวขึ้น มองไปทางเขา ด้วยอาหารที่เต็มอยู่ในปาก จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชัดเจน “คุณดูอะไร……”
ภวินท์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จึงกล่าวอย่างช้าๆ “คุณเหมือนกับเมื่อก่อนจริงๆ”
เมื่อก่อนญาธิดาก็เป็นแบบนี้ เห็นอาหารทีไรก็จะตะกละขึ้นมาทันที ทานคำโตๆ โดยที่ไม่สนภาพลักษณ์แต่อย่างใด ทานอย่างเอร็ดอร่อย ที่เห็นแล้วก็หิวตามทันที
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็ชะงักขึ้นทันใด สักพักก็ตระหนักถึงความหมายในคำพูดของเขาได้ทันที
“เมื่อก่อน” ในคำพูดของเขา น่าจะหมายถึงเมื่อห้าปีก่อน
เมื่อกล่าวถึงห้าปีก่อน ความทรงจำเหล่านั้น ความสัมพันธ์แบบนั้น ได้ถูกดึงออกมา ฉับพลันญาธิดาก็เงียบไปในทันใด
และในเวลานี้ ประตูห้องผู้ป่วยจู่ ๆ มีคนผลักออก พยัคฆ์เลิกคิ้ว เดินเข้ามาอย่างจริงจัง
“คุณภวินท์ เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”
คำพูดของเขาเปล่งออกมา บรรยากาศก็หม่นลงทันที
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในไม่กี่วินาที “เกิดเรื่องไร”
“ขั้นตอนของผู้ถือหุ้นต่างๆ ได้ทำดำเนินการเสร็จแล้ว แต่มีปัญหาหนึ่งคือ ตอนนี้ในมือของภูผายังมีหุ้นอยู่ส่วนหนึ่ง”
ภวินท์เลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”
“หุ้นในมือของเขา เป็นของผู้ถือหุ้นเก่าอย่างท่านรัฐภูมิ ต่อมาท่านรัฐภูมิเกิดอุบัติขึ้น เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้….”
ภวินท์พยักหน้า แววตาเย็นชาฉายประกาย และเกือบเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ภูผาเซ็นลงนามการโอนหุ้นนั้น เขาระบุว่าหุ้นทุกอย่างให้เป็นของภวินท์ ในนี้รวมไปถึงในส่วนของภูผาที่เอาไปจากเขา และรวมไปถึงหุ้นที่เดิมทีมีอยู่แล้ว แต่มีเพียงที่ไม่มีคือของรัฐภูมิ……
ซึ่งก็หมายความว่า หลังจากที่รัฐภูมิเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หุ้นที่เดิมทีควรเป็นของเขา ยังไม่ทันได้ทำการโอนอย่างเป็นทางการหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถูกผู้ไม่หวังดีชะงักไว้แล้ว
ดังนั้น ต่อให้ภูผาจะเซ็นใบโอนหุ้นให้แล้ว หุ้นปัจจุบันทั้งหมดของเขาถูกถ่ายโอน แต่กลับยังไม่สามารถทำให้หุ้นของรัฐภูมิมาเป็นของตัวเองได้ ดังนั้น เขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นส่วนของ STN Group
ที่แท้ ภูผาก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายไว้ให้ตัวเองไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
หรือว่าเขาเดาออกแต่แรกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
จิตใจชายหนุ่มคนนี้ช่างลึกล้ำเหลือเกิน ความคิดล้ำลึกเพียงใด คิดๆ แล้วช่างน่ากลัวจริงๆ
พยัคฆ์เห็นภวินท์เงียบครู่หนึ่งโดยไม่พูดไม่จา จึงได้เอ่ยปากถาม “ทำอย่างไรดีครับ หุ้นของรัฐภูมิไม่ถือว่าเยอะ ตอนนี้อยู่ในชื่อของเขา พวกเราเอากลับมาไม่ได้
ภวินท์เม้มริมฝีปากที่ขาวซีด เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเบาๆ “ไม่เป็นไร หุ้นอันน้อยนิดของเขา ไม่สามารถส่งคลื่นใดๆ ได้”
พยัคฆ์กล่าวอย่างเย็นชา “แล้วถ้ารวมกับขอคุณท่านด้วยล่ะครับ”
ประโยคนี้ของเขา ราวกับหนามที่แหลมคม ทิ่มลงมาที่กลางใจของภวินท์
เขาขมวดคิ้วขึ้น แล้วครุ่นคิดกับตัวเอง
จะว่าไป ปกรณ์ก็หายตัวไปสักพักหนึ่งแล้ว ลูกน้องที่เขาส่งคนไปอเมริกาก็ตามหาไม่เจอเบาะแสใดๆ
ดังนั้นเห็นทีว่า คนคนนี้จะต้องถูกซ่อนไว้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นบุคคลคนหนึ่งจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น เป็นไปไม่ได้
“ส่งคนไปตามหาอีกครั้ง”
ตามที่เขาเข้าใจภูผาในตอนนี้ หากว่าเขาคิดอยากจะได้อะไรบางอย่าง จะต้องทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ แม้แต่การฆ่าญาติตัดมิตร เขาก็สามารถทำออกมาได้
เขาไม่อยากจะคิด ทำเพียงพยายามคิดให้มาก และระวังให้มากที่สุด
พยัคฆ์รับคำสั่งแล้ว ก็รีบสั่งคนไปตามหาทันที ครู่เดียว ในห้องก็เหลือภวินท์กับญาธิดาสองคนอีกครั้ง
บรรยากาศในห้องเย็นลงอีกครั้ง คำสนทนาของภวินท์กับพยัคฆ์เมื่อสักครู่ ญาธิดาได้ยินทั้งหมด ถึงแม้เธอจะไม่ฉลาดพอ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า ตอนนี้ภูผาไม่ใช่คุณชายรองคนที่พิการคนเดิมอีกต่อไป เขาคือคู่ปรับ คือศัตรูที่ไม่สามารถประมาทได้ และน่ากลัวสุดๆ
ญาธิดาเห็นชายหนุ่มสีหน้ามืดมน จึงหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเบาๆ “เวลาไม่เช้าแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เพราะอย่างไรตอนนี้แขนของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลออกมาไม่น้อย คิดว่าก็คงจะอ่อนแอไม่น้อย
ภวินท์ได้ยินเสียงจึงหันหน้ามามองเธอ “ผมวางใจไม่ลง”
ตอนนี้ทิ้งญาธิดาให้อยู่คนเดียว เขาวางใจไม่ลง
ญาธิดาหัวใจบีบแน่น ความซาบซึ้งผุดขึ้นในใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธอหายใจเข้าลึก “แต่ว่าแบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะมั้ง”
แผ่นหลังของเธอถูกลวกจนเป็นแผล ดึกๆ ต้องทายาอีกครั้ง และเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บ ในห้องก็มีเตียงเพียงเตียงเดียว การพักผ่อนจะเป็นอุปสรรค
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวถามกลับเบาๆ “ไม่เหมาะสมยังไง”
และในเวลานี้ จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกประตูห้อง ในความรางๆ เหมือนจะเป็นเสียงของพยาบาลดังขึ้น “ใช่ค่ะ ห้องผู้ป่วยของคุณธิดาก็คือห้องนี้……”
จากนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังเบาๆ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ของเด็กน้อย
ญาธิดาตัวสั่นเทา เกิดความกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก และเวลานี้ ประตูห้องค่อยๆ ถูกคนเปิดออก มีเสียงฝีเท้าวิ่งดัง “ตุบตับ” เข้ามา อีธานกับเอลล่าจูงมือกันวิ่งเข้ามาในห้องผู้ป่วย
วินาทีที่เห็นญาธิดานอนอยู่บนเตียง สองเด็กน้อยก็เรียก “แม่!” ด้วยความดีใจ
จากนั้นก็วิ่งกระโจนเข้าไปที่เตียงอย่างไม่สนใจสิ่งใดๆ
ทันทีที่เธอเห็นอีธานกับเอลล่า ญาธิดาก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ รีบปาดน้ำตาตรงหางตา แล้วกล่าวกระตุกกระตัก “พวกหนู…..พวกหนูมาได้ยังไงกัน!”
เธอคิดถึงลูกๆ ที่น่ารักอย่างสุดซึ้ง ในเวลานี้จู่ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอย่างฉับพลัน แน่นอนว่าเธอต้องดีใจอย่างมาก
อีธานเอลล่ากระโจนไปที่ข้างเตียง ดึงมือของเธอไว้ แล้วซบถูไถอย่างออเซาะ จากนั้นถามคำถามออกมาอย่างมากมาย
“คุณแม่ สองสามวันมานี้ไปไหนเหรอครับ ทำไมไม่กลับบ้านเลย”
“คุณแม่ไม่สบายเหรอคะ ทำไมต้องมาที่โรงพยาบาล”
“คุณแม่พวกหนูคิดถึงคุณแม่มากๆ วันนี้คุณแม่กลับบ้านกลับพวกหนูไหม”
“……”
ได้ยินคำพูดของสองหนูน้อย หัวใจของญาธิดาก็ดำดิ่งลง เธอแทบจะตอบคำถามนี้ไม่ทัน
เวลานี้ อีธานเอลล่าถึงสังเกตเห็นภวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็น
เอลล่าเรียก “คุณอาสุดหล่อ!” ด้วยความดีใจ
อีธานก็เอียงหน้าไปมองแล้วถามด้วยความสงสัย “แม่ครับ ทำไมคุณอาสุดหล่อถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ”
ญาธิดาอ้าปากค้าง ขณะที่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี นอกห้องประตูผู้ป่วยก็มีคนเดินเข้ามาหนึ่งคน
ธีทัตถือเค้กสีฟ้าชวนฝันไว้ในมือทั้งสองข้าง เดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ญาธิดาชะงัก เห็นเขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ก็ผุดความรู้สึกผิดในใจ “ทัต……”
“ผมกับลูกน้อยสองคนทำเค้กให้คุณกับมือ ชอบไหมครับ”
ธีทัตวางเค้กลงข้างหัวเตียง ที่หน้าเค้กได้วาดรูปครอบครัวสี่คนลงบนเค้กสีฟ้าด้วยครีม วาดออกมาบิดๆ เบี้ยวๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการวาดของเด็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฮฮาและความไร้เดียงสาประสาเด็กๆ
ญาธิดาจมูกคัดขึ้น น้ำตาค่อยๆ เอ่อไหลออกมา “คุณ…คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“คุณคิดว่าผมไม่โทรศัพท์หาคุณไม่ส่งข้อความให้คุณ ก็คือไม่เป็นห่วงคุณใช่ไหม”
ธีทัตโน้มตัวลงมาแล้วยิ้มเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาเธอเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลลงอย่างมาก “ผมคอยสังเกตดูคุณตลอด ไม่เคยจากไปไหน”
ภาพนี้ ทิ่มแทงสายตาภวินท์สุดๆ