ดวงใจภวินท์ - บทที่ 569 เป็นคนที่ฉันรู้สึกผิด
บทที่ 569 เป็นคนที่ฉันรู้สึกผิด
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ มองดูพยัคฆ์แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “พยัคฆ์ อย่างนั้นต้องรบกวนนายช่วยถามพี่เข้มหน่อยแล้ว ดูว่าเขาจะมีเพื่อนที่สามารถแนะนำได้ไหม ถึงเวลานั้นเรื่องราวสำเร็จ ฉันจะเลี้ยงอาหารเอง”
“พี่ธิดา จะมาเกรงใจอะไรกับผม” พยัคฆ์ยิ้มแล้วกล่าว จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่เข้ม
ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกรับสาย น้ำเสียงของเขากล่าวอย่างหนักแน่น “พี่เข้มเคยเป็นทหารมาก่อน รู้จักคนจำนวนมาก ถามเขาจะต้องได้เรื่องอย่างแน่นอน”
จากนั้น สายโทรศัพท์ก็เชื่อมติด เขารีบกล่าวทักทายกับพี่เข้ม “พี่เข้ม ยุ่งไหมครับ มีเรื่องอยากจะถามพี่สักหน่อย……”
พลางพูด เขาเดินไปข้างๆ แล้วคุณโทรศัพท์ต่อ หลังจากสองนาที เขาวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินมาหาญาธิดา พร้อมด้วยสีหน้าที่มีความสุข “ได้เรื่องจริงๆ ด้วย!”
ญาธิดาเห็นดังนั้น ก็เกิดดีใจขึ้น “มีคนรู้จักไหม”
“พี่เข้มรู้จักคนหนึ่งจริงๆ เป็นนายพล เรื่องแบบนี้สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมาก”
ญาธิดาค่อนข้างดีใจ “อย่างนั้นก็ดี”
พยัคฆ์ก็ยิ้มตามแล้วกล่าว “พี่เข้มบอกว่าคืนนี้ว่างพอดี สามารถพาพวกเราไปเจอเขาได้”
ญาธิดาพยักหน้ารัวๆ “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งล่าช้า เกรงว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
คืนนั้น ญาธิดาแต่งตัวอย่างเหมาะสม แล้วตามพยัคฆ์ไปที่จุดนัดหมาย เป็นร้านบาร์ที่ค่อนข้างมีสไตล์ที่อยู่บนถนนที่มีชื่อเสียงในเมือง J
ร้านบาร์มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า มีแสงไฟสลัวดวงดาวระยิบระยับ บวกกับลมพัดโชยยามราตรี ได้อารมณ์สุดๆ
แต่ละโต๊ะคั่นด้วยขาตั้งดอกไม้ ให้ความเป็นส่วนตัวและก็ไม่น่าเบื่อ
เมื่อญาธิดากับพยัคฆ์มาถึงตำแหน่งที่นัดไว้ล่วงหน้านั้น พวกพี่เข้มเขายังมาไม่ถึง พยัคฆ์จึงเปิดรายการอาหารดูรอบหนึ่ง แล้วยิ้มให้กับญาธิดา “พี่ธิดา พี่ดื่มน้ำผลไม้เถอะ ไม่อย่างนั้น……”
ขณะที่พูด จู่ๆ เขาก็ชะงักขึ้น ลังเล สายตากลอกไปมา พร้อมกับรอยยิ้ม
ญาธิดาเงยหน้ามามองเขา มีความสงสัยเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นอะไร”
พยัคฆ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่อย่างนั้นคุณภวินท์รู้เข้า จะต้องไม่ปล่อยผมอย่างแน่นอน”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ฉับพลันก็รู้สึกร้อนผ่าวในใจ แก้มแดงก่ำขึ้น “อย่าไปพูดไร้สาระ”
พลางพูดเธอพลางเปิดรายการน้ำผลไม้ แล้วสั่งค็อกเทลหนึ่งแก้ว
ทันทีที่เครื่องดื่มของเธอกับพยัคฆ์มาเสิร์ฟ ตรงหน้าบันไดก็มีชายหนุ่มสามคนเดินมา หนึ่งในนั้นที่เดินอยู่ด้านหน้าก็คือพี่เข้ม
เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ญาธิดาจึงรีบลุกขึ้น เตรียมตัวที่จะไปกล่าวทักทายกับเขา
เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก สายตาก็กวาดไปเห็นคนที่อยู่ข้างๆ พี่เข้ม สายตาจึงชะงักขึ้น
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่เข้ม รูปร่างตรง ใบหน้าประณีต คิ้วเข้มผิวสีแทน เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นชาย
เขาสูงมาก สูงกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ครึ่งหัว คู่ดวงตาเป็นประกายกวาดมองไปทั่วระเบียง สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่บนตัวของเธอ
ญาธิดาที่อยู่ในภวังค์ พี่เข้มได้พาชายหนุ่มสองคนเข้ามา และกล่าวคำทักทายกับเธอ “ธิดา พยัคฆ์ รอนานแล้วใช่ไหม”
เธอได้สติคืนมา จึงยิ้มให้กับพี่เข้ม “พวกเราก็เพิ่งมาค่ะ”
พี่เข้มพยักหน้า จากนั้นก็แนะนำชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านข้างให้กับพวกเขา “ชวิศ เพื่อนนายพลของผม และคนนี้คือนัท เป็นจิตรกร”
ญาธิดาพยักหน้า แล้วก็กล่าวทักทายสองคำ
จากนั้น พี่เข้มก็แนะนำพวกเขาให้รู้จัก “คนนี้คือธิดา ญาธิดาคนที่ฉันเคยเล่าให้นายฟัง คนนี้คือน้องรักของฉัน พยัคฆ์”
สายตาของชวิศมองมาที่ตัวของญาธิดา จากนั้นก็เบนไปอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากกล่าวทักทายแล้ว
ทั้งห้าคนนั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า ไม่นาน สุราที่พวกเขาได้สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ พวกเขาทำการชนแก้ว แล้วหัวข้อสนทนาก็ย่อมเปลี่ยนมาเป็นหัวข้อของการเจอกันวันนี้โดยธรรมชาติ
ในฐานะที่พี่เข้มเป็นคนกลาง ก็ต้องย่อมเป็นคนเปิดปากก่อน เขายิ้มแล้วอธิบายถึงสถานการณ์ “ความจริงแล้วธิดาเธอต้องการหาคน แต่ว่าไม่มีรูปถ่าย จึงอยากจะขอให้นัทช่วยวาดออกมาสักหน่อย เช่นนี้แล้วเวลาตามหาจะได้ง่ายขึ้น”
ชวิศยกวิสกี้ขึ้นมาจิบ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อยากจะหาคนนั้นง่ายมาก ขอเพียงให้ข้อมูลประจำตัว ก็จะสามารถหาข้อมูลบันทึกที่เกี่ยวข้องได้แล้ว”
พี่เข้มกล่าวอย่างลังเล “แต่ว่าคนที่เธอต้องการหาครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ……”
พลางพูดเขาพลางหันหน้ามามองญาธิดา ไม่รู้ว่าควรอธิบายหรือไม่
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองชวิศแล้วกล่าวเบาๆ “คือแบบนี้คนเหล่านั้นที่ฉันต้องการตามหาต่างใช้ชื่อฉายา ฉันเองก็ไม่รู้ชื่อจริงของพวกเขา ดังนั้น……”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ชวิศกับนัทจึงเข้าใจ
ชวิศหยุดชะงักครู่หนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ตัวของญาธิดา จากนั้นกล่าว “อย่างนี้แล้วกัน พวกคุณบรรยายลักษณะมา แล้วนัทจะเริ่มลงมือวาดตอนนี้”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็รีบกล่าวขอบคุณ “อย่างนั้นดีค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากๆ!”
ชวิศขยับริมฝีปาก ไม่พูดไม่จา นัทที่อยู่ข้างๆ หยิบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ติดตัวมาด้วยออกมา เปิดออกหน้าวาดภาพขึ้น หันมามองพวกเขาแล้วกล่าว “พร้อมแล้วครับ บรรยายได้เลย”
มืออาชีพช่างแตกต่างจริงๆ เขาจับเม้าส์วาดได้อย่างลื่นไหลยิ่งกว่าใช้มือวาดเสียอีก ตามที่พวกเขาบรรยาย ขีดสามทีวาดสองครั้งก็ออกมาเป็นรูปร่างแล้ว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ภาพได้วาดออกมาคร่าวๆ แล้ว
ญาธิดาจ้องไปที่หน้าจอ พยายามนึก จู่ๆ คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยปาก “ขมับด้านซ้ายของเขามีไฝสีดำหนึ่งเม็ด”
พี่เข้มประหลาดใจ “ธิดา ครั้งก่อนคุณพบเขาเพียงครั้งเดียว คุณสังเกตได้ละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ!”
ญาธิดาได้ยินดังนนั้น หัวสมองก็ประกายภาพที่ตัวเองเจอกับธีระครั้งที่สองที่โรงพยาบาล ในใจจึงผุดความรู้สึกผิดขึ้นมา เธอดึงรอยยิ้มขมขื่นออกมา แล้วกล่าวเบาๆ “เจอกันโดยบังเอิญน่ะ”
ขณะที่พูดประโยคนี้ ชวิศที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอหรี่ตาลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แต่กลับเงียบไม่พูดอะไร
เพราะญาธิดาได้เข้าใกล้ชิดกับเณรน้อยเณรศีลเท่านั้น สุดท้ายจึงวาดเพียงธีระกับเณรศีลพี่เข้มกับพยัคฆ์ก็จำหน้าของเณรน้อยรูปอื่นไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้วาด
สุดท้าย ญาธิดามองดูภาพเหมือนบนคอมพิวเตอร์ที่เหมือนเจ็ดแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งดีใจและประหลาดใจ “ใกล้เคียงแล้ว ใช้ภาพนี้ตามหากจะต้องง่ายอย่างแน่นอน”
คำพูดเธอสิ้นสุดลง ชวิศที่นั่งอยู่ตรงข้ามจู่ๆ ได้เอ่ยปากขึ้นอย่างเย็นชา “พวกเขาเป็นอะไรกับคุณ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของญาธิดาแข็งชะงัก เงยหน้าขึ้นมองพวกเขา จึงสบตาเข้ากับคู่ดวงตาที่ลุ่มลึกของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก หยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เป็นคนที่ฉันรู้สึกผิดด้วย”
ทันทีที่เธอกล่าวจบ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นหดหู่เล็กน้อย พี่เข้มเห็นบรรยากาศเย็นชาลง จึงรีบยกแก้วเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ยิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อวาดเสร็จแล้ว อย่างนั้นวันนี้พวกเราก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว ญาธิดา พวกเราดื่มให้กับชวิศกับนัทสักแก้ว”
กลุ่มคนหัวเราะ หยิบแก้วขึ้นมาชากัน จากนั้นทุกคนก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อสักครู่อีก
สนทนากันพอประมาณ เหล้าก็ดื่มกันพอประมาณแล้ว ญาธิดาก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกำชับกับพนักงานให้นำผลไม้มาเสิร์ฟ
เธอเดินจากหน้าบันไดไปที่ระเบียงอีกครั้งนั้น ก็เห็นชวิศสูบบุหรี่อยู่ที่ราวตรงมุมของดาดฟ้า ชายหนุ่มพิงอยู่บนราว เอียงข้างเล็กน้อย เย็นชา และสง่างาม ราวกับภาพวาด
และในเวลานี้ เขาหันหน้ามาอย่างช้าๆ และสบตากับญาธิดาเข้าพอดี
ญาธิดาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร ใครจะไปรู้เขาจะยกมือคีบบุหรี่ขึ้นเบาๆ แล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เมื่อสักครู่คุณโกหก”
น้ำเสียงที่หนักแน่นของเขา กล่าวเปิดโปงอย่างไร้ความปรานี