ดวงใจภวินท์ - บทที่ 577 จะจัดการกับเด็กๆ เหล่านี้ยังไงดี
บทที่ 577 จะจัดการกับเด็กๆ เหล่านี้ยังไงดี
ญาธิดารู้สึกจิตใจไม่สงบ พลันตัดสินใจทันควัน เมื่อลุกขึ้นเตรียมมุ่งหน้าเดินมาทางด้านนอก “ไม่ได้ ฉันต้องไปดูสักหน่อย!”
จังหวะนี้เอง หน้าประตูห้องทำแผลก็มีประกาศหมายเลขขึ้นมา “คุณญาธิดา ภูสิทธ์อุดม รบกวนทำแผลที่ห้องหมายเลขสามค่ะ”
ญาธิดาขมวดหัวคิ้วไว้แน่น โดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี พยัคฆ์เร่งฝีเท้าเดินออกมาทันควัน เพื่อดักหน้าเธอพลางพูดทันที “พี่ธิดา ผมมองว่าควรทำแผลก่อนนะครับ แผลที่อยู่บนตัวพี่มันรอต่อไปไม่ไหวแล้วนะ!”
ญาธิดากำหมัดแน่น หัวใจร้อนผ่าว รอยแผลบนขาของเธอรอไม่ไหว แต่เณรศีลก็ทนรอไม่ไหวเช่นเดียวกัน ถ้าเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นมา แล้วเธอจะรับผิดชอบอย่างไร
อีกอย่าง ข้อกล่าวหาที่ทำให้เจ้าอาวาสถึงแก่มรณภาพไปเรื่องหนึ่ง ก็กดดันจนเธอหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว ถ้าเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายกับเณรศีลอีกครั้ง งั้นเธอก็ไร้ยางอายมากกว่าเดิม!
พยัคฆ์เห็นว่าเธอไม่ยอมพูดอยู่นาน พลันรีบพูดทันที “พี่ธิดาครับ ถ้าพี่ไม่ทำแผลให้เสร็จก่อน แล้วจะไปหาคนได้ยังไง? อีกอย่างหากคุณภวินท์รู้เข้า เขาต้องไม่เห็นด้วยแน่”
เมื่อสบตากับดวงตาอันแน่วแน่เป็นพิเศษคู่นั้นของเขา ญาธิดากลืนน้ำลายทันที และไม่ยอมพูดยอมจาออกมาสักคำ
ถึงแม้ว่าเธอจะกระหืดกระหอบไปด้วยความรู้สึกกระตือรือร้น เกรงว่าภวินท์ก็ไม่ปล่อยให้เธอไปแน่ เธอกัดฟันไว้แน่น พลันก้มหน้าชำเลืองมองบาดแผลที่ถูกพันแบบลวกๆ เพื่อตั้งสติให้มั่น
ท้ายที่สุดเธอก็ใช้วิธีการทำแผลที่เร็วที่สุด หลังจากให้พยัคฆ์ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้ว จากนั้นก็ออกคำสั่งให้คนขับรถรีบขับรถกลับไปทันที
เมื่อเดินทางมาถึงด้านหน้าประตูโรงงานปูนซีเมนต์แห่งนั้น ญาธิดายังไม่ทันลงจากรถ จึงเห็นบริเวณประตูมีรถจอดอยู่หลายคันผ่านกระจกรถ เมื่อเห็นพี่เข้มกำลังยืนคุยบางอย่างกับลูกน้องอยู่นอกรถ หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น และตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถทันที
ทันใดนั้น พลันมีฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่อยู่ด้านข้างยื่นออกมา เพื่อคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และฉุดเธอให้ถอยกลับมาอีกครั้ง พอญาธิดาหันหน้าไป ก็สบตาดวงตาดำขลับอันเคร่งขรึมล้ำลึกคู่นั้นของภวินท์ทันที
เธอย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ “จะทำอะไร?”
เขาพูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “คุณมีแผลที่ขา ไม่ต้องลงไปหรอก ผมจะเรียกพี่เข้มมาเองให้เขาแจ้งสถานการณ์กับคุณ”
“ไม่ต้อง ฉันเดินไปเองได้ค่ะ”
ญาธิดาพูดน้ำเสียงไม่ย่อท้อ พลันสะบัดมือจนหลุดจากมือของชายหนุ่มด้วยความแน่วแน่ พร้อมทั้งผลักประตูลงจากรถอย่างดื้อรั้น
พี่เข้มมองเห็นเธอ พลันเดินมาทางด้านหน้าอย่างทันควัน สีหน้าแสดงความลังเลมากขึ้น “ธิดา…”
“เป็นไงบ้างคะ? ยังหาไม่เจอใช่มั้ยคะ?”
พี่เข้มชะงักเล็กน้อย พลันก็ตอบกลับอย่างเป็นทางการ “น่าจะอยู่ในมือของพวกผู้ชายที่หนีเตลิดไป ทางเราได้ส่งคนตามไปแล้วตอนนี้ไม่มีข่าวคราวอะไร ยังไงก็ต้องรอสักหน่อยครับ”
เมื่อญาธิดาได้ยิน ก็แอบถอนหายใจเล็กน้อย ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่มีข่าวคราวถือว่าเป็นข่าวที่ดี
เวลานี้ พี่เข้มพูดอีกครั้ง “แต่ว่าภายในโรงงานปูนซีเมนต์มีเด็กอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว ตอนนี้อยู่ด้านในทั้งหมด พวกเรายังคิดไม่ตกว่าจะจัดการอย่างไรดีครับ…”
ญาธิดาได้สติกลับมา พลันชำเลืองมองไปทางโรงงานปูนซีเมนต์อันเก่าคร่ำครึทางนั้น จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเอ่ยปากสอบถาม “มั่นใจแล้วใช่มั้ยว่าเป็นการค้ามนุษย์และแก๊งลักพาตัวเด็ก?”
“เกือบ80-90เปอร์เซ็นต์ครับ เด็กที่อยู่ข้างในถ้าไม่ใช่เด็กกำพร้า ก็เป็นแบบพลัดพรากจากพ่อแม่ มีทุกช่วงอายุครับ เมื่อกี้นี้ผมได้พาคนเข้าไปทำสถิติมาแล้ว นี่คือรายชื่อทั้งหมดครับ”
พี่เข้มพูด พร้อมทั้งยื่นสมุดเล่มหนึ่งมาให้
ญาธิดายื่นมือออกมารับ พลันมองเห็นรายชื่อเด็กจำนวน 20กว่าคนที่เขียนติดยาวกันเป็นพืด จนหัวใจรัดแน่นอย่างกะทันหัน
ทุกชื่อ เขียนชื่อนามสกุลตามจริงอย่างสมบูรณ์ มีแค่คนเดียวที่เขียนแค่ชื่อเล่น ทางด้านหลังยังระบุอายุ อายุน้อยที่สุด 4 ขวบ มากที่สุด 13 ปี ช่างปนเปกันมาก
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คุณภวินท์พูดหรือยังคะว่าจะจัดการอย่างไร?”
พี่เข้มส่ายหน้า “ยังเลยครับ”
ญาธิดากัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย หลังจากนั้นพริบตาเดียว พลันย่างเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังโรงงานปูนซีเมนต์ “พาฉันไปเจอพวกเขาหน่อยนะคะ”
พี่เข้มพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินนำทางให้ ญาธิดารีบเดินตามทันที แม้ว่าขาข้างหนึ่งจะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ก็สามารถฝืนเดินตามทัน
จากนั้นเข้าเดินเข้าสู่สนาม เพื่อเดินตัดผ่านลานอันอีเหละเขะขะ พวกเขาเดินทางมาถึงภายในโรงผลิตปูนซีเมนต์ที่เอาไว้ทำงานตามปกติ ภายในยังวางเครื่องจักรไว้หลายเครื่อง ตรงมุมกำแพงยังมีหินปูนและมีฝุ่นเต็มไปทั่ว
กลุ่มเด็กๆ ต่างกระจุกรวมกันอยู่ตรงมุมหนึ่งภายในโรงงาน ทางนั้นที่มีโต๊ะและเก้าอี้นั่งไม้ตัวเล็กที่เก่ามากกระจัดกระจายไปทั่ว พวกเขามีทั้งนั่งยองๆ บ้าง นั่งบ้าง หดตัวอยู่ทางนั้น พลางใช้สายตาชำเลืองมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันประสานแววตาความหวาดกลัวของเด็กๆ พวกนั้น จนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เธอจึงลองเดินเขยิบเข้าใกล้พวกเขา พลันกระซิบถาม “พวกหนูเคยเห็นเขามั้ยจ๊ะ?”
หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็นภาพสเกตช์ของเณรศีลที่เธอกำโทรศัพท์อยู่ในมือ
มีเด็กบางคนพยักหน้า มีเด็กบางคนส่ายหน้า พวกเขาแสดงความลังเลออกมา แต่กลับไม่มีใครสักคนยอมพูดออกมาสักคน
จังหวะช่วงนั้น พลันมีเด็กผู้ชายผอมกะหร่องเอ่ยขึ้น “เขาถูกเฮียทิงจับตัวไปแล้ว เมื่อกี้นี้เอง ตอนที่พวกเขาหนีเตลิดไปก็ฉุดกระชากเขาขึ้นรถไปด้วย”
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น หัวใจทั้งดวงถูกแขวนขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางอากาศ ราวกับสามารถหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
ดูเหมือนว่า ในใจของเธอก็พอจะคาดได้พอประมาณ เณรศีลโดนพวกผู้ชายพวกนั้นจับตัวไปแล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ ก็ต้องอาศัยลูกน้องของพี่เข้มที่ไล่ตามไปแล้วแหละ
เมื่อมองดูกลุ่มเด็กๆ กลุ่มนั้น โดยส่วนใหญ่เด็กๆ ต่างผอมกะหร่องผิวเหลืองขาดสารอาหาร เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวก็ขาดวิ่น สกปรกมอมแมม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจะทำให้พวกเรายิ่งเหมือนเด็กขอทานหรือเปล่า บนใบหน้าของพวกเขาก็มอมแมมตามด้วย
เมื่อมองเห็นพวกเขา หัวใจญาธิดาเริ่มเจ็บปวดรวดร้าว ระยะเวลาที่รอฟังข่าวนั้น เธอจึงให้คนไปซื้อขนมปัง น้ำผลไม้ตามร้านค้าที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เพื่อนำมาแบ่งให้แก่เด็กๆ
ไม่นานนัก เด็กๆ ก็สนิทกับเธอขึ้นมาก เวลานั้น ในโรงงานกลับครื้นเครงขึ้นมาก
ญาธิดาพูดคุยเป็นเพื่อนกับพวกเขา จนกินเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าอย่างไม่รู้ตัว
พยัคฆ์เดินมาข้างตัวเธอ พลันกระซิบพูด “พี่ธิดาครับ พวกเราควรจะกลับกันได้แล้ว คุณภวินท์เขารออยู่บนรถแล้วครับ”
ญาธิดาเพิ่งได้ยินเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดเรื่องตลก รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้ายังไม่ทันหุบ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ รอยยิ้มแข็งทื่อลงทันที
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันเหลือบมองกลุ่มเด็กๆ แวบหนึ่ง พลันกระซิบพูด “งั้นจะเอายังไงดีกับพวกเขาล่ะคะ?”
พยัคฆ์ลังเลชั่วครู่ พลันเอ่ยพูด “ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ทำได้เพียงติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์เด็กครับ”
“สถานสงเคราะห์เด็ก?” ญาธิดาย่นคิ้ว “แต่ว่าเด็กที่นี่พลัดพรากจากพ่อแม่เยอะมาก การเอาทุกคนไปส่งให้สถานสงเคราะห์เด็กแบบลวกๆ มันไม่ค่อยเหมาะสมมั้งคะ?”
สีหน้าแววตาความลำบากใจของพยัคฆ์ปรากฏทางสีหน้า “สิ่งที่พี่พูดก็ไม่ผิดครับ แต่พี่ครับ พวกเราไม่ใช่องค์กรการกุศลนะครับ แถมยังสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์มากที่ต้องไปตามหาญาติให้กับเด็กยี่สิบคน มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ แถมยังเปลืองเวลา อีกอย่างตอนนี้STN ก็ตกอยู่ในสภาพวุ่นวายมาก คุณภวินท์ไม่มีความสามารถมากพอกับเรื่องนี้ครับ!”
เขาพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนสบตากัน ต่างเงียบงันด้วยกันทั้งคู่
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ ไม่พูดอะไรเลยในเวลานั้น คำพูดเหล่านั้นที่พยัคฆ์พูดเมื่อครู่ เธอย่อมเข้าใจอย่างถ่องแท้ อีกทั้งคำพูดมีลักษณะคล้ายคลึงกับตอนที่ภวินท์พูดตอนอยู่บนรถ
เธอเข้าใจที่สุด สำหรับเด็กน้อย 20 คนที่ไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกับพวกเขาสักนิด พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยซ้ำ
แต่ทว่า เมื่อมองในมุมของตัวเธอเอง เธอไม่มีวันปล่อยให้เด็กเหล่านี้ไม่มีคนดูแลและจัดการส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กเป็นอันขาด
สถานสงเคราะห์เด็ก เป็นสถานที่ให้หลบซ่อนความยากลำบากเพียงระยะหนึ่ง แต่เมื่อมองจากความยืดเยื้อแล้ว ถือว่าไม่เหมาะสมอยู่ดี