ดวงใจภวินท์ - บทที่ 580 การตัดสินใจด้วยตนเอง
บทที่ 580 การตัดสินใจด้วยตนเอง
ญาธิดายกโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะชามนั้นขึ้นมา เพื่อยกซด รสน้ำผึ้งจางๆอบอวลอยู่ตามซอกลิ้นซอกฟัน ถือว่าเป็นรสชาติที่เธอชื่นชอบมากจริงๆ โดยไม่มีผิดเพี้ยนเลย
สิ่งเหล่านี้ที่ภวินท์ทำให้ มันทำให้เธอรับรู้ถึงความอบอุ่นอย่างแท้จริง ทว่าเมื่อฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จนทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยจนหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนเรื่องเด็กๆ ที่อยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์เหล่านั้น เดิมทีเธอคิดว่าเขาจะต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่า…
ญาธิดาถอนหายใจเบาๆ พลันซดหลายอึก จากนั้นก็นำถุงประคบเย็นวางลงบนข้อเท้าที่บวมฉึ่ง จากนั้นพลันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาสถานสงเคราะห์ทุกแห่งในเมือง J
เธออยากจะช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นสักหน่อย ถึงแม้จะไม่ได้ไปช่วยตามหาญาติของพวกเขา อย่างน้อยก็ต้องเลือกสถานสงเคราะห์เด็กที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา การทำเช่นนี้ ถึงเธอสบายใจได้
เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากญาธิดาตื่นนอนแล้ว จึงกินข้าวเช้าเป็นเพื่อน เณรศีล ถัดจากนั้นก็เตรียมจะกลับ เพื่อรีบมุ่งหน้าไปยังโรงงานปูนซีเมนต์ทันที
ตอนที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ ภวินท์ปรากฏตัวทางด้านข้างแปลงดอกไม้ เขาชำเลืองเพื่อประเมินเธอ เมื่อเห็นว่าเธอแต่งตัวอย่างเรียบร้อย และแต่งตัวเตรียมจะออกจากบ้าน
ท่อนล่างเธอใส่กระโปรงสั้นสีขาวทรงสุ่ม สามารถปกปิดบาดแผลที่อยู่บนขาได้อย่างพอดี นอกจากการเดินด้วยท่วงท่าผิดปกติแล้ว บริเวณเหมือนปกติดีทุกอย่าง
ภวินท์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “จะออกไปข้างนอกเหรอ?”
ญาธิดาตั้งใจไม่พูดให้ชัดเจน พลันเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง “เตรียมจะกลับแล้ว”
เธอพูด พร้อมทั้งก้าวเท้าเตรียมจะกลับ จู่ๆ ก็คิดอะไรออก และถอยหลังกลับมา พลันหันมาพูดกับเขา “ใช่สิ เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ที่ฉันเอาออกมาใส่ เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้คุณนะ”
ภวินท์ยิ้มกรุ้มกริ่ม พลันจ้องเธอ “ระหว่างเราไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นมั้งครับ?”
ญาธิดาพูดอย่างเป็นทางการ “อะไรที่ต้องคิดก็ต้องคิดให้ชัดเจนอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินเธอพูดจาเช่นนี้ ภวินท์ทำหน้าไม่ถูก พลันมองเห็นเต็มตาว่าเธอเตรียมจะเดินออกไปแล้ว จึงเรียกรั้งเธอเอาไว้ “นี่ตั้งใจจะไปโรงงานปูนซีเมนต์ใช่มั้ยครับ?”
ร่างกายญาธิดาหยุดทันที พลันหันหน้ากลับมาชำเลืองมองเขา หลังจากลังเลอยู่ชั่วพริบตา จึงได้พูดตอบรับออกมา “อื้อ”
สายตาอันสุขุมของเธอสบตากับเขา จากนั้นก็หันหน้ากลับไป พลันเร่งฝีเท้าและเดินออกไปทันที
ตอนที่เธอเพิ่งออกไป หลุยส์ก็เดินถือกาแฟออกมาแก้วหนึ่ง เขาทั้งมองภวินท์ พร้อมทั้งพูดงึมงำออกมาพร้อมกัน “เธอก็ช่างมุมานะอุสาหะจริงๆ ทำทุกอย่างด้วยตนเอง และทำบุญอย่างเงียบเชียบ”
แววตาภวินท์เคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลุยส์หันหน้าไปมองด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง พลันเอ่ยปากถามทันที “ใช่สิวิน ทำไมแกไม่บอกไปเลย ว่าแกตั้งใจจะช่วยเหลือเด็กพวกนี้อยู่แล้ววะ?”
ภวินท์พูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “ตอนแรก การที่พูดว่าไม่ช่วย เป็นเพราะว่ากลัวว่าถ้ายอมตกลงว่าจะช่วยแล้ว เธอก็ต้องมาคอยนั่งจดจ้องด้วยตนเองแน่ๆ การวิ่งกลับไปกลับมา มันจะทำให้แผลที่ขาของเธอไม่หายสนิทสักทีนะสิ”
หลุยส์หัวเราะอย่างเยาะเย้ย “แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่าถึงแกไม่ช่วย เธอก็ยินยอมดาหน้าไปเอง”
แววตาภวินท์หม่นหมองลง พลันฟื้นกลับคืนตามปกติอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากที่เม้มอยู่ก็ขยับแล้ว พลันบ่นพึมพำ “ยัยผู้หญิงบ๊อง”
ตอนแรกเขาก็คิดว่าทำเพื่อประโยชน์ที่ดีกับตัวเธอ จึงอยากทำให้เธอลบความคิดนี้ออกไป เพื่อให้พักผ่อนให้หายดี แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะดื้อด้านขนาดนี้
แม้ว่ามองจากผิวเผินเขาพูดว่าไม่ช่วย แต่ก็วางแผนและจัดการเอาไว้เองตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเขาเห็นเด็กเหล่านั้นไม่มีอะไรกินก็นั่งดูเฉยๆ โดยไม่ดูดำดูดี เพียงแต่ความคิดกับกระทำเหล่านี้ เขายังไม่เอ่ยกับเธอเท่านั้นเอง
ใครจะรู้ว่ายัยผู้หญิงบ๊อง อาศัยความหัวร้อน แต่คิดจะช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับเพิกเฉยร่างกายของตนเองแทน
หลุยส์ที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น พลันตบไหล่ของเขาเบาๆ พลางกล่าวว่า “มีบางเรื่องก็ไม่สามารถที่เข้าไปสนใจอย่างเคร่งครัดมากนัก ในเมื่อเธออยากทำก็ปล่อยให้เธอทำไปสิ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของแกก็คือการรักษาขา ยังดีที่ช่วงนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว รอขาหายดี เธอคิดจะทำอะไรที่ ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากแล้ว”
หลุยส์พูด พลันขยิบตาให้เขา แถมยังยิ้มอย่างสื่อความหมายเป็นนัยอีกต่างหาก
ภวินท์ถอนสายตากลับมา สายตาจับจ้องมาที่ขาทั้งสองของตนเอง พลันตะลึงเล็กน้อย พร้อมทั้งพูดอย่างแผ่วเบา “อืม ภารกิจที่ด่วนที่สุดก็คือรักษาขานี่แหละ”
ในช่วงระยะนี้ เขายุ่งอยู่กับงาน อีกทั้งหลุยส์ก็คอยจัดการนัดหมายหมอทุกแขนง มีทั้งมีชื่อเสียงโด่งดัง เอกชน ภายในประเทศต่างประเทศ ผลัดเปลี่ยนหมุนวนกันไป แม้ว่าไม่มีวิธีที่สามารถทำให้ขาทั้งสองข้างฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากผ่านการรักษาแล้ว ถือว่ามีสัญญาณการรักษาที่ดีขึ้นจริงๆ
ทว่า จำต้องผ่านกระบวนการระยะเวลาอีกยาวนาน
เขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพยัคฆ์ทันที ไม่นานนัก คนที่อยู่ปลายสายก็กดรับ
“ฮัลโหลครับ? คุณภวินท์”
“พยัคฆ์ วันนี้ญาธิดาจะไปโรงงานปูนซีเมนต์ ถ้าเธออยากให้นายช่วยอะไร ก็ทำตามที่เธอขอไปเลย”
พยัคฆ์ที่อยู่ปลายสายตะลึงเล็กน้อย “เมื่อวานพูดว่าไม่ช่วยไม่ใช่เหรอครับ?”
ภวินท์สวนกลับทันที ไร้ความลังเลแต่อย่างใด “ทำตามที่ผมสั่ง”
เมื่อวานกลัวว่าเธอจะจัดการเรื่องนี้และต้องวิ่งกลับไปกลับมาจนกินเวลาพักผ่อน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายเธอก็ยังแน่วแน่แบบนี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ช่วยเธอสักหน่อยเถอะ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ญาธิดาก็เดินทางมาถึงโรงงานปูนซีเมนต์ เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตู ก็เห็นพยัคฆ์เดินเข้ามาต้อนรับขับสู้ พร้อมทั้งทักทายเธออย่างกระตือรือร้น “พี่ธิดา พี่มาถึงแล้วนี่!”
ญาธิดาพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย จากนั้นก็นำถุงที่อยู่ในมือยื่นส่งให้เขา พลันกระซิบพูด “ต้องพลอยทำให้พวกคุณลำบากไปด้วยเลย นี่เป็นอาหารเช้าที่ฉันเอามาให้พวกคุณ กินตอนร้อนๆ นะ อีกเดี๋ยวช่วยจัดการยกกล่องอาหารเช้าลงจากรถให้หน่อยสิคะ”
พยัคฆ์แปลกใจ หลังจากตั้งสติได้ก็รีบกล่าวคำขอบคุณทันควัน “พี่ธิดา พี่ช่างใส่ใจมากจริงๆ!”
ญาธิดายิ้มให้พลันพูดต่อ “ฉันขอร้องให้พวกนายช่วยเฝ้าที่นี่ไว้หนึ่งคืน ก็ไม่มีอะไรจะให้ พวกนายก็ฝืนทำให้ก่อน รอวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกนายให้อิ่มหนำสำราญเลย”
วานนี้ตอนนี้เธอกลับออกไปนั้น ก็ยังไม่วางใจเด็กๆ ที่อยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ จึงฝากฝังให้พยัคฆ์ช่วยเอาลูกน้องหลายคนมาเฝ้าที่โรงงานปูนซีเมนต์หน่อย ข้อแรกเพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ โดยป้องกันพวกผู้ชายเหล่านั้นจะย้อนกลับมาฆ่ายกครัว ข้อสองคือป้องกันเด็กๆ วิ่งเตลิดไปทั่ว
พยัคฆ์ตบหน้าอกเพื่อเป็นการรับประกันทันที “พี่ธิดา พี่วางใจได้เลย เรื่องที่พี่กำชับพวกเราเอาไว้พวกเราต้องทำให้ดีอย่างแน่นอน”
ญาธิดาหัวเราะร่า จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ภายใต้การนำทางของลูกน้อง ถึงเดินมาถึงบริเวณที่เด็กๆ นอนหลับอยู่เมื่อคืน
บริเวณนั้นเป็นห้องปูนเปลือยที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนั้น บนพื้นปูเสื่อผืนบางไว้หนึ่งอัน เด็กทุกคนนอนอยู่บนเสื่อ แถมยังคลุมผ้าห่มที่ขาดวิ่น สีเทาหม่น จนมองไม่เห็นสีเดิมด้วยซ้ำ เด็กชายหญิงนอนกองรวมกัน โดยเอาเท้าพาดศีรษะ บ้างก็นั่งก็นอนตามสะดวก
เมื่อเห็นภาพนั้นแล้ว หัวใจของญาธิดาบีบรัดอย่างรุนแรง พลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธอกัดฟันไว้แน่น แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมา
เธอไม่สามารถจินตนาการออกเลยทำไม่พวกเขาถึงมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ทุกวัน และยิ่งไม่กล้าจินตนาการว่าเด็กที่มีอายุไล่เลี่ยกับฝาแฝดเหล่านั้นทำไมถึงใช้ชีวิตอยู่สภาพอเนจอนาถแบบนี้ได้
“พวกหนูกินข้าวเช้ากันหรือยังเอ่ย?”
ญาธิดาฝืนความรู้สึกให้หนักแน่นเข้าไว้ พยายามถามด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
เด็กๆ ทุกคนต่างส่ายหน้า “ยังเลย”
“งั้นดีเลย ทุกคนลุกขึ้นให้หมด เข้าแถวเลยค่ะ ฉันจะพาพวกหนูไปกินข้าวเช้านะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ เด็กๆ ทุกคนต่างลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมทั้งเข้าแถวกันอย่างมีชีวิตชีวา พลันเพ่งมองเธออยู่ตลอด ด้วยดวงตาแห่งการรอคอย
พลันมีกระแสน้ำอุ่นพลุ่งพล่านขึ้นในห้องดวงใจของญาธิดา เธอเดินอยู่ด้านหน้า เพื่อพาพวกเขาเดินไปยังประตูที่อยู่ทางด้านหน้า