ดวงใจภวินท์ - บทที่ 581 คุณนี่ช่างขี้หลงขี้ลืมจริงๆ
เมื่อญาธิดาได้ยิน ตื่นเต้นจนเกือบจะลุกกระโดดโลดเต้นจากจุดเดิม “จริงเหรอคะ?”
เมื่อชวิศหันหน้ามา จึงเห็นดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวที่กำลังระยิบระยับมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ริมฝีปากก็อดยกขึ้นอย่างอดเสียไม่ได้ “จริงแท้แน่นอนครับ”
“ดีจังเลยค่ะ!” เมื่อญาธิดาเกิดความรู้สึกตื่นเต้น จึงคว้าแขนของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “ขอบคุณนะคะ!”
วินาทีที่สายตาของชายหนุ่มเอาแต่จดจ้องอยู่บนใบหน้าของเธอนั้น จากนั้นก็ลดระดับมาที่มือของเธอ
เธอเหมือนรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองวางตัวไม่เหมาะสม จึงก้มหน้าลง เลยเห็นมือของตนเอง พลันดึงมือของตนเองกลับมา และยิ้มให้ชวิศเป็นการขอโทษ
ชวิศยิ้มกรุ้มกริ่ม “ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ แล้วล่ะก็ สู้ช่วยผมสักเรื่องสิครับ”
“ช่วยเรื่องอะไรคะ?”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก คุณติดหนี้ผมไว้ก่อนแล้วกัน รอวันที่ผมคิดได้แล้วค่อยบอกคุณ”
เขาพูด พร้อมทั้งขยิบตาให้เธอ จากนั้นก็เดินออกไปทางนั้นเพื่อสอบถามความคืบหน้ากับสถานการณ์ใหม่ล่าสุดกับเพื่อนร่วมงาน
ญาธิดานั่งอยู่ตรงนั้น พลันจ้องมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มอย่างจริงจัง พลันยกมุมปากขึ้น
ชวิศคนนี้ ช่างทำให้เธอแปลกใจจริงๆ เลย
หลังจากผ่านยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ได้แจ้งข่าวคราวที่ช่วยเหลือเด็กทั้งเจ็ดคนจนตามหาครอบครัวจนเจอแล้ว หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อญาติพี่น้องให้แล้ว พวกเขาก็สามารถกลับเข้าสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง
เด็กที่เหลืออยู่ 10 กว่าคนก็ถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เด็กที่ดีที่สุดในเมืองทั้งหมด J อยู่ชั่วคราว ทางสถานสงเคราะห์ได้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด อีกทั้งเมื่อมีครอบครัวไหนรับเลี้ยงแล้ว ทางพวกเขาก็จะจัดทำเอกสารคู่มือให้ทันที
ยามท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงนั้น เด็กยี่สิบกว่าคนต่างมีที่พักอาศัยชั่วคราว หลังจากญาธิดาได้พูดคุยกับทางผู้อำนวยการของทางสถานสงเคราะห์เด็กแล้ว จึงเตรียมตัวกลับออกมา
เธอเดินตามหลังชวิศ ยังไม่ทันจะเดินออกจากตัวอาคาร พลันหันหน้าไปมองเด็กๆ ที่ยืนเป็นแถวด้านหน้าประตูตึก พวกเขายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งชะเง้อมองเธอ และโบกมือให้เธออย่างน่าสงสาร
ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ พลันโบกมือให้พวกเขา หางตาเปียกชุ่มอย่างไม่รู้ตัว
เธอคาดไม่ถึงเลยว่า ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักมักจี่กับเด็กเหล่านี้แค่หนึ่งวันสั้นๆ เอง พวกเขาถึงได้แสดงความรู้สึกรักมากมาย จนทำให้รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจลึกๆ
เดิมที่เธออยากจะตะโกนอะไรออกไปให้เด็กๆ ฟัง แต่จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอบอุ่นพาดแขน มีคนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และลากเธอให้เธอตรงไปทางด้านหน้า
ญาธิดาหันหน้ากลับมาอย่างประหลาดใจ และมองชวิศ พลันพูดด้วยความแปลกใจ “ทำอะไรหรือคะ?”
ชวิศหันหน้ามาหา บริเวณดวงตาอันเฉยเมยมีความเชือดเฉือนเล็กน้อย และพูดตรงไปตรงมา “ถ้าขืนคุณยังไม่เดินออกไปก็ต้องร้องไห้ออกมาแล้วเนี่ย?”
“คุณ…”
คำพูดประโยคเดียวกลับทำให้เธอพูดไม่ออก
เธอสูดจมูก รู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก พลันเกิดความรู้สึกลังเลทรมานอยู่ในใจแวบหนึ่ง จึงยอมรับทันที พลันพูดอย่างหนักแน่น “ถ้าฉันอดใจไม่ไหวแล้วจะยังไงหรือคะ? การร้องไห้ขี้แยกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายนี่คะ”
เมื่อชวิศได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะในลำคอทันที และมองแววตาที่สื่อความหมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ของเธอ “คิดไม่ถึงเลยว่า คุณจะใจดีมาก…”
“แน่นอนค่ะ”
ญาธิดาพึงพำอยู่ในลำคอ กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูของสถานสงเคราะห์เด็ก จึงเห็นพยัคฆ์ที่แสดงสีหน้าแปลกใจตอนมองมาที่พวกเขา เธอถึงรู้ตัวทันทีว่ามือของตนเองนั้นชวิศยังจับมือไว้อยู่ ทันใดนั้น เธอจึงดึงมือของตนเองกลับทันที
เธอเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาหลายก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเขา เหมือนว่าตั้งใจเดินเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างคนสองคน แต่ไม่นานนัก เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ฝีเท้าชะงักทันที จึงหันหน้ากลับไปมองเขา “ใช่สิคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ต้องขอบคุณคุณมากค่ะ เอางี้มั้ยคะ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณนะคะ….”
ถ้าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเขา เกรงว่าการจัดการที่พักอาศัยของเด็กทั้งยี่สิบกว่าคนเป็นอย่างดี เธอทำคนเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
ต้องขอบคุณเขามากๆ ถึงได้ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น แม้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่เธอก็ชัดเจนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการฝากฝังให้ทางสถานีตำรวจคอยเข้ามาช่วยเหลือ หรือว่าจะไปสถานสงเคราะห์เด็กก็ตาม ต่างเป็นเพราะว่าเขาคอยฝากฝังให้คนรู้จักคอยช่วย โดยจัดการแบบลับๆ ถือว่าใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และช้อนตามองชวิศด้วยความรู้สึกเขินอาย “ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงคำขอบคุณยังไงดีค่ะ ดังนั้นก็ทำได้แค่เลี้ยงข้าวคุณนี่แหละ”
ชวิศหัวเราะเยาะอย่างไม่สบอารมณ์ “กินข้าวก็ได้นะ แต่ว่าเรื่องที่คุณติดหนี้ที่ผมช่วยคุณอย่าลืมซะนะ”
ญาธิดาลังเลอยู่ชั่วครู่ จึงพยักหน้ารับ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตราบใดที่เป็นเรื่องที่ฉันสามารถช่วยได้ คุณก็บอกฉันมาเถอะค่ะ”
แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าชวิศมีอะไรตรงไหนที่จำให้ตนเองต้องช่วย แต่เขาก็พูดออกมาจากปากขนาดนี้แล้ว เธอย่อมไร้วิธีปฏิเสธ
ชวิศชะเง้อมองและยิ้มให้เธอ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ เมื่อได้รับคำตอบที่เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว รอยยิ้มในดวงตากลับเพิ่มมากขึ้น มุมปากยกขึ้น “ตกลง จำไว้นะพูดได้ก็ต้องทำได้ด้วย”
ญาธิดาก็ยิ้มตาม “แน่นอนค่ะ”
ทั้งสองคนต่างยิ้มให้กัน บรรยากาศในเวลานั้นผ่อนคลายลงเยอะ
“OK ไปกันเถอะค่ะ ฉันเลี้ยงข้าวคุณเอง”
เพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณ ตอนกินข้าวนอกจากชวิศแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมงานของเขาอีกสองคนและพวกของพยัคฆ์อีกหลายคนอยู่ด้วยกันทั้งหมด เดิมทีพวกเขายังรักษาภาพพจน์ ชั่วครู่ เมื่อดื่มเหล้าเท่านั้นแหละ ทุกคนต่างเปิดเผยกันทุกคน
ช่วงเวลานั้น ชวิศไม่แตะต้องเหล้าเลย แค่สูบบุหรี่ไปสองมวน เวลาที่เหลือก็คอยยิ้มตอนเห็นพวกเขาดื่มเหล้ากันอย่างสนุกสนาน พูดน้อย แต่การแสดงตนกลับไม่ได้อ่อนแอลง
จู่ๆ พยัคฆ์ก็ลุกพรวด และชูแก้วให้ญาธิดา “พี่ธิดาครับ ผมชนแก้วกับพี่อีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ถือว่าทำให้ผมนับถือได้จริงๆ”
“ผมดื่มหมดแล้ว ของพี่ก็เอาที่พี่สะดวกครับ”
เขาพูดไปด้วย พลันเงยหน้าดื่มเหล้า และกระดกไวน์แดงหมดแก้ว เมื่อคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์นั้น ต่างชมกันไม่หยุดปาก ว่าพยัคฆ์ดื่มเหล้าเก่ง
ญาธิดาหัวเราะร่า เมื่อเห็นพวกเขา พลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจเล็กน้อย เธอเทไวน์ให้ตนเองหนึ่งแก้ว และลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งยิ้มและพูดกับพวกเขา “เรื่องในวันนี้ ถ้าไม่มีทุกคนในที่นี้อยู่ด้วย ฉันคนเดียวก็ทำได้ไม่ดีแน่ ดังนั้นไวน์แก้วนี้ ฉันดื่มให้กับทุกคนค่ะ”
ชวิศเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลันถามต่อทันทีโดยไม่เล่นแง่ “งั้นคุณวางแผนว่าจะช่วยเหลือพวกเขาตามหาคนได้ยังครับ?”
“น่าจะพาไปหาตำรวจมั้ง…”
เธอพูดยังไม่ทันจบ ชวิศก็หัวเราะออกมาทันที เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่กลับหันหลังให้และกวักมือเรียกคนสองคนที่ติดตามเขามาด้วย
ทั้งสองนั่นเข้าใจความหมายทันที พลันเดินมาหาทันควัน ในมือยังถือเครื่องมืออะไรสักอย่าง พลันเดินมาหยุดทางด้านข้างของกลุ่มเด็กกลุ่มนั้น และพูดคุยอะไรบางอย่างกับพวกเขา จึงเอาเครื่องมือให้พวกเขาบันทึกรอยนิ้วมือทันที
ญาธิดาแปลกใจ “นี่มัน…จะทำอะไรคะ?”
ชวิศอธิบายอย่างเป็นท่าทาง “เป็นการตรวจฐานข้อมูลในระบบเมือง J ก่อนว่ามีข้อมูลลายนิ้วมือของพวกเขาอยู่หรือไม่ หากสามารถตรวจสอบได้ ก็ทำให้ประหยัดเรื่องไปได้อีกเยอะมากครับ”
ญาธิดาแปลกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นชั่วอึดใจ พลันรู้สึกถอนหายใจ เธอเหลือบมองชวิศ ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยปากขอบคุณทันที “ขอบคุณ…”
คำกล่าวขอบคุณยังพูดไม่จบประโยค จู่ๆ ก็ขัดจังหวะเธอขึ้นมาทันที พลันยกมือขึ้นและพูดทันที “คำขอโทษไม่ต้องพูดหรอก ผมมาทำธุระอยู่แถวๆ นี้กับเพื่อนๆ อีกหลายคน จึงมาอย่างบังเอิญมาก เพิ่งจะมาถึง จึงถือวิสาสะบันทึกลายนิ้วมือให้เท่านั้นเอง”
เขาพูดออกมาหลายประโยคอย่างผ่อนคลาย จึงทำให้การแบกรับที่อยู่ในใจของญาธิดาลดน้อยลงไปเยอะ เธอยังคิดว่าเขาตั้งใจถ่อมาช่วยเธอโดยเฉพาะนะเนี่ย
พวกเขายุ่งกับการทำงานทางนั้นอยู่สักพัก ข้อมูลต่างๆ ถูกโอนเข้ายังฐานข้อมูลของส่วนกลาง รอสักพักใหญ่ จึงได้ผลลัพธ์ออกมา
สภาพอากาศเริ่มร้อน แสงแดดแผดจ้า ภายในโรงงานปูนซีเมนต์ร้อนอึดอัดจนทนไม่ไหว บรรดาเด็กๆ ต่างวิ่งไปที่ลาน และเล่นเกมพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุขที่พบหาได้ยาก ญาธิดาหาเก้าอี้มานั่งลงทางด้านข้าง และจ้องมองภาพภาพนั้นอยู่เงียบเชียบ
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าหัวใจที่ลอยละล่องอยู่นั้นสงบลงเยอะ พลันมองเด็กๆ เชื่อมั่นในตัวเธอ และกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส่ใหม่อีกครั้ง เธอรู้สึกอิ่มเอมอย่างแรงกล้า รู้สึกโล่งใจ ก็เพราะพลังนี้แหละ ที่ค่อยปลุกกำลังใจให้เธอลงมือทำต่อไป และทำต่อไปเรื่อยๆ
เงาสูงใหญ่ของคนคนหนึ่งเดินมาอยู่ทางด้านข้าง ถัดจากนั้น ญาธิดาก็ได้ยินเสียงของชวิศที่ดังมาจากทางด้านข้าง “น้ำผลไม้ครับ”
ญาธิดาหันหน้าไปมองเขา พร้อมทั้งยื่นมือออกไปรับน้ำผลไม้สดจากมือของเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา “ขอบคุณค่ะ”
ประโยคนี้มันออกมาจากหัวใจจริงๆ ตลอดช่วงเช้า เขายุ่งมาก โดยมอบหมายงานให้เพื่อนร่วมงานตนเองอีกสองคน ทั้งบันทึกลายนิ้วมือ ทั้งลงทะเบียนประวัติ จนไม่ได้หยุดพักเลยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยหวังความช่วยเหลือจากเขามาก่อนเลย แต่เรื่องมักจะผิดพลาดเช่นนั้น
ชวิศเอนหลังพิงเก้าอี้ทางด้านข้างอย่างเกียจคร้าน พลันเปิดขวดชาดำเพื่อดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นก็จ้องมองเด็กๆ ที่กำลังเล่นเกมกันอยู่ทางนั้น พลันหรี่ตาพูด “ผลตรวจสอบออกมาแล้วนะ มีเด็กหลายคนที่พ่อแม่ยังอยู่ ผมได้แจ้งให้เพื่อนที่อยู่ที่สถานีตำรวจทางนั้นทราบแล้ว พวกเขาช่วยประสานงานติดต่อไปแล้วครับ