ดวงใจภวินท์ - บทที่ 589 อย่าเสียแรงเปล่า
บทที่ 589 อย่าเสียแรงเปล่า
ณ STN Group
ภวินท์นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน กำลังนั่งอ่านรายงานที่ลูกน้องส่งมาให้ แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
ผ่านไปอยู่นาน เขาก็ยังคงไม่ได้สั่งอะไร ลูกน้องก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียกเขา “คุณภวินท์……”
เขาดึงสติกลับมา และก็มองไปยังเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็โบกมือและพูดว่า “ออกไปก่อนเถอะ ถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรเดี๋ยวฉันให้เลขาไปบอก”
ลูกน้องตอบรับ แล้วก็ถอยออกไปด้วยความเคารพ
ภายในห้องนั้นเงียบได้ไม่นาน หลังจากนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว พยัคฆ์เดินเข้ามารายงานกับภวินท์ “คุณภวินท์ พี่ธิดาพาเด็กผู้ชายคนนั้นออกจากโรงพยาบาลไปแล้วครับ”
ภวินท์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ฉันรู้แล้ว”
ข้อความที่ญาธิดาส่งมาให้เขานั้น เขาเห็นแล้ว แต่แค่ไม่อยากตอบเท่านั้นเอง
พยัคฆ์ชะงักไป หลังจากนั้นก็ตอบว่า “พี่หลุยส์บอกผมว่า เขาจงใจให้เรื่องเป็นแบบนั้น แถมยังฝากผมมาบอกคุณอีกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคุณจะได้มีเหตุผลให้ได้ไปเจอพี่ธิดาอีก”
ภวินท์หัวเราะออกมา พร้อมกับพูดพึมพำกับตัวเอง “นี่มันเหตุผลอะไรกัน? ”
เขาเก็บสายตาที่เย็นชาของตัวเอง หักมือของตัวเองเล็กน้อยและเงยหน้ามองพยัคฆ์ “วันนี้ภูผาไม่มาเหรอ? ”
พยัคฆ์ส่ายหน้า “ไม่ครับ”
ตั้งแต่ตอนที่เขากลับมาที่STN Groupอีกครั้งนั้น ภูผาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย คนที่ไม่รู้ก็ต่างคิดว่าเขากลัวจนหัวหดอยู่ในกระดอง แต่ว่าภวินท์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาจงใจให้เป็นแบบนี้ จงใจให้ฝ่ายตรงข้ามของเขาอยู่ในที่สว่าง ให้ทุกคนเห็นจุดยืนของพวกเขา
และยิ่งไปกว่านั้น STN Groupในตอนนี้นั้นเหมือนกับกองทราย จะจับก็จับไม่ได้ ในบัญชีต่างๆ มีช่องโหว่ที่ชัดเจน ภูผาก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นที่ว่าจะเอาตัวเองมาส่งถึงที่หรอกนะ
พยัคฆ์พูดอีกครั้ง “แต่ว่า ช่วงนี้เขาก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้วนะครับ”
พอได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาเงยหน้าขึ้นมามองเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
พยัคฆ์พูดทีละประโยคว่า “คนที่ผมส่งไปติดตามรายงานตำแหน่งล่าสุดของเขา บอกว่าช่วงนี้เขาค่อนข้างใกล้ชิดกับคุณหนูของตระกูลทิวะศิริ คุณหนูตระกูลทิวะศิรินั้นพึ่งกลับมาจากการที่ไปเรียนต่างประเทศ พ่อของเธอคือสมพงษ์ ทิวะศิริ”
พอพูดจบ พยัคฆ์ก็หยิบเอกสารขึ้นมาแล้วก็ส่งให้เขา
ตอนที่ได้ยินชื่อสมพงษ์นั้น ดวงตาของภวินท์ก็เริ่มขยับ เขาก้มหน้าลงอ่านข้อมูลของคุณหนูตระกูลทิวะศิรินั้น และคิ้วของเขาก็เริ่มขยับ
อัยดา ทิวะศิริอายุ24ปี จบจากสถาบันศิลปะฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง รูปในเอกสารนั้นเธอยิ้มอย่างสดใส ใบหน้าก็ค่อนข้างดูดี
ภวินท์ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น เขาเริ่มจะคาดเดาเป้าหมายของภูผาได้แล้ว
ผู้หญิงแบบนี้ พึ่งกลับมาจากการเรียนต่อที่ต่างประเทศ มีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี รูปลักษณ์ อีกทั้งการศึกษาก็ไม่ได้แย่ สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือคู่ครองที่มีพื้นหลังทางครอบครัวตรงกัน คบกัน แต่งงานและมีลูก พลังอำนาจเท่าเทียมกัน และผนึกกำลังกันได้
อัยดาเป็นลูกสาวของสมพงษ์ เพราะฉะนั้นการที่ภูผาจะเข้าใกล้เธอนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องรู้ว่าสมพงษ์เป็นใครกัน เขามีบทบาทสำคัญในสถาบันต่างๆ ของเมือง J ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้นำ แต่ว่าพลังอำนาจที่เขามีอยู่ในมือแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ภวินท์เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “พวกเขาไปที่ไหนและทำอะไรกันบ้าง? ”
พยัคฆ์รายงานอย่างละเอียด “ล่องเรือชมจันทร์ ขี่ม้าชมเมือง แล้วก็จัดpartyในปราสาทโบราณด้วยครับ เป็นสิ่งที่คนรวยเขาเที่ยวเล่นกันทั้งนั้นเลย น่าจะมีแค่ประมาณนี้แหละครับ สรุปว่าดูท่าทางคุณอัยดาจะมีความสุขมากเลย”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง และพูดเสริมว่า “ใช่สิครับ รายการเรียลลิตี้โชว์เพื่อเฟ้นหาเกิร์ลกรุ๊ปที่บริษัท พีพีมีเดียสนับสนุนด้านสื่อด้วย เหมือนกับว่าคุณอัยดาจะเข้าร่วมด้วยนะครับ ตอนแรกจำนวนถูกกำหนดไว้แล้ว แต่หลังจากนั้นคุณอัยดาก็เข้ารอบด้วย นี่เป็นข่าวจากวงใน ผมได้ยินมาจากเพื่อนที่อยู่ในวงการน่ะครับ”
ภวินท์หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา สายตาของเขาเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยการถากถาง
ดูท่าทาง ภูผาจะมีความสามารถอยู่บ้าน เกรงว่าเขาจะเข้าใจนิสัยของอัยดาดีมาแล้วก่อนที่จะเข้าไปสนิทสนมกับเธอ
สำหรับคุณหนูที่มีสถานะแบบนี้ ตราบใดที่เขาทุ่มเท และยอมทุ่มเงิน เขาต้องจับเธอไว้อยู่หมัดไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน
“คุณภวินท์ คุณว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงไปสนใจผู้หญิงได้ล่ะครับ? แต่กลับไม่สนใจเรื่องที่บริษัทเลย นอกจากหุ้นในส่วนของคุณรัฐภูมิที่เขาได้รับแล้ว ก็เหมือนกับว่าเขาจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นกับSTNเลยนะครับ”
“ไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอก”ภวินท์พูดอย่างสงบ “ลองคิดดูสิว่าสมพงษ์เป็นใคร การที่เขาไปสนิทสนมกับอัยดาต้องไม่ใช่เพราะผู้หญิงเฉยๆ อย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายของเขายังมีเกล้าแก้วอยู่แล้วอีก”
พอได้ยินภวินท์พูดแบบนี้ พยัคฆ์ก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน เขาถลึงตาด้วยความตกใจและพูดว่า “หรือว่าเขาต้องการ……จะแต่งงานเพื่อให้เกี่ยวดองกันงั้นเหรอ? อาศัยพลังอำนาจและอิทธิพลของสมพงษ์……”
ภวินท์เงียบ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
รายละเอียดว่าภูผาต้องการอะไรนั้น รออีกหน่อยก็คงจะชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาแล้วล่ะ
แล้วฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง
รถลีมูซีนสีดำคันหนึ่งแล่นเข้าไปในเขตชุมชน และสุดท้ายก็จอดลงตรงหน้าบ้านพักสไตล์ยุโรปสีขาวขนาดสูงสามชั้น เป็นการออกแบบสไตล์นอร์ดิก มีระเบียงเปิดโล่งทรงโค้ง
ภูผาลงมาจากรถ แล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นสาม ห้องที่อยู่ตรงกลางสุดนั้นปิดผ้าม่านสนิท เหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ยังไงยังงั้น
เขาขมวดคิ้ว แล้วก็ก้าวยาวเข้าไปในบ้าน มือหนึ่งปลดกระดุมเสื้อสูทและถอดออก
แม่บ้านก็เข้ามาทักทายเขา และก็รับเสื้อสูทไปพร้อมกับแขวนให้เรียบร้อยพร้อมกับถามว่า “คุณผู้ชาย ทานข้าวรึยังคะ? ”
“กินแล้ว ทำซุปแก้เมาค้างแล้วเอาไปส่งชั้นบนด้วย”
พอพูดจบเขาก็จะเดินตรงไปข้างหน้าต่อ แต่เหมือนจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ก็เลยหยุดเดินและหันมาหาคุณป้าแม่บ้าน “วันนี้เธอกินข้าวบ้างรึยัง? ”
คุณป้าแม่บ้านขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “ไม่ค่อยกินเท่าไหร่เลยค่ะ กินเข้าไปแล้วก็อาเจียนออกมา คนของพวกเราป้อนก็ไม่ได้”
พอได้ยินสิ่งที่คุณป้าพูด สีหน้าของภูผาก็ดูแย่ลงในทันที “งั้นก็เอาโจ๊กขึ้นไปให้เธออีก”
พอพูดจบ เขาก็ก้าวยาวขึ้นไปชั้นสาม แล้วก็เปิดประตูบานนั้น
ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นอายของความมืดชื้นก็พุ่งเข้ามา เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและเดินเข้าไปข้างใน ภายในห้องนั้นมีแสงไฟสลัว และมีผู้หญิงผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง เธอนั่งกอดเข่าด้วยแขนทั้งสองข้าง ผมยาวสลวยนั้นตกลงมาปิดบังใบหน้าของตัวเอง
ภูผาเดินเข้าไปและนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับเตียง แล้วก็พิงพนักอย่างเกียจคร้าน สายตาของเขาจับจ้องไปที่เธออยู่นาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองคนจมอยู่ในความเงียบเป็นเวลาหนึ่ง และสุดท้าย ภูผาก็เปลี่ยนท่านั่งพร้อมกับพูดว่า “ผมบอกแล้วไง อย่าพยายามคิดจะฆ่าตัวตายภายใต้จมูกผม ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณได้สมใจหรอก อย่าพยายามเลย เสียเวลาเปล่า”
ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงเริ่มขยับ และก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่เท้าของเธอ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ผมเผ้าที่ยาวสลวยของเธอเคลื่อนไหว ก็เลยเผยให้เห็นเท้าที่ถูกปิดบังเมื่อกี้ของเธอ ที่แท้ข้อเท้าของเธอก็ถูกโซ่ล่ามเอาไว้อยู่
เธอเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดแต่สวยสดงดงามภายใต้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงนั้น ใบหน้าของเธอไม่มีสีเลือดมาหล่อเลี้ยงเลยด้วยซ้ำ ดวงตาว่างเปล่า ผิวซีดจนเกือบจะผิดปกติ ผอมจนติดกระดูก เห็นแวบแรกก็ค่อนข้างน่ากลัว
เกล้าแก้วพูดด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา “ภูผา คุณเลี้ยงฉันไว้ในคอกแบบนี้ มันมีความหมายอะไรไหม? ”
ภูผาพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ไม่ได้เลี้ยงไว้ในคอกนะ ผมบอกแล้วไง ว่าถ้าคุณคิดได้เมื่อไหร่ผมก็จะให้คนมาปลดโซ่ที่เท้าให้”
เกล้าแก้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของคุณ และจะไม่อยู่ข้างคุณอีกต่อไป ลบล้างความคิดนั้นทิ้งไปซะเถอะ”
“เกล้าแก้ว คุณไม่ได้มีทางเลือก”
พอสิ้นเสียงที่เย็นชาของภูผา ก็มีเสียงเคาะประตู หลังจากนั้น คุณป้าแม่บ้านก็ถือถาดอาหารเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “ซุปแก้เมาค้างกับโจ๊กเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วค่ะ”
พอคุณป้าแม่บ้านพูดจบ ก็ถือซุปแก้เมาค้างไปวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ หน้าโซฟาและถามต่อว่า “คุณผู้ชายคะ โจ๊กชามนี้……”
ภวินท์เหลือบมองโจ๊ก พร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาไปให้เธอ ถ้าเกิดว่าไม่ยอมกิน ก็กรอกปากไปต่อหน้าฉันเนี่ยแหละ”