ดวงใจภวินท์ - บทที่ 597 จดทะเบียนแล้วค่อยว่ากัน
บทที่ 597 จดทะเบียนแล้วค่อยว่ากัน
อัญมณีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พยักหน้าช้าๆ “ก่อนที่เราจะมาที่สถานีตำรวจ ฉันกับพายุไปซูเปอร์มาร์เก็ตมา แล้วฝากกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์ ก็แค่สิบกว่านาทีเท่านั้นแหละ เราออกมาเร็วมาก”
“ถ้าเป็นอย่างที่ภวินท์บอก ว่าแฟลชไดรฟ์ที่เขาให้มานั้นเป็นของจริง อาจจะเป็นไปได้อีกกรณีก็คือแฟลชไดรฟ์อันนั้นถูกสับเปลี่ยน”
เมื่อเธอพูดแบบนั้น ใบหน้าของทุกคนก็ดูมืดมนลง ทุกคนก็มองหน้ากันและสบตากัน แววตาดูซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
พายุเป็นคนแรกที่คิดได้ และพูดออกมาเลยว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของล็อกเกอร์ฝากของ แบบนี้ล่ะอาจจะเจออะไรบ้างก็ได้”
ญาธิดาพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่”
อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อทีปกรได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด ก็ยื่นมือมาช่วยทันที “อย่างนี้ละกัน! ผมไปกับพวกคุณด้วยดีกว่า ไปดูว่าจะเจออะไรที่กล้องวงจรปิดบ้าง”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
ทุกคนตัดสินใจแล้วออกจากโรงพัก ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทันที
ในไม่ช้า ที่ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ทีปกรก็แสดงบัตรตำรวจ ทันทีที่พนักงานเห็น พวกเขาก็ให้ความร่วมมือกับการสืบสวนทันที
แต่ตอนที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตอนนั้นเอง ทุกคนก็ต้องตกใจอีกครั้ง ภาพในกล้องวงจรปิดที่ล็อกเกอร์เป็นสีดำ มองไม่เห็นอะไรเลย
จู่ๆ สีหน้าของทีปกรก็เข้มขึ้น เขายกมือชี้ไปที่สีดำบนหน้าจอ แล้วถามเจ้าหน้าที่ว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กล้องวงจรปิดอันอื่นใช้ได้ปกติ มีเพียงแค่กล้องที่ล็อกเกอร์เท่านั้นที่เป็นจอสีดำ
เจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างอ้ำๆอึ้งๆว่า “กล้องตัวนี้พังครับ พวกเราแจ้งไปแล้ว แต่วันนี้ยังไม่ทันได้ซ่อม”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ จู่ๆ ใบหน้าของทุกคนก็ดูแย่ลงอย่างไม่น่าดู
ทันใด อัญมณีก็กำหมัดแน่น พูดอย่างโมโหว่า “ต้องเป็นนิวราแน่! เธอต้องรู้อะไรแน่ ถึงจงใจหาคนมาทำลาย ทำให้เราฟ้องมันไม่ได้!”
เธอพูดพลาง น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด
จากการประสบปัญหาสุขภาพครั้งใหญ่มา เธอก็อ่อนแอลงมากขึ้นทั้งทางร่างกายและอารมณ์
เมื่อเห็นอัญมณีเป็นแบบนี้ ญาธิดาก็ใจสลาย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินไปข้างหน้าแล้วลูบหลังเธอเบาๆเพื่อปลอบโยน “อันอัน เราจะหาทางอื่นได้แน่”
หลักฐานต่างๆตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว ถึงจะอยากฟ้องนิวรา ก็ดูจะทำไม่ได้แล้ว
อัญมณีทนไม่ไหว ร้องไห้อยู่นาน แต่ในที่สุดก็สงบลงได้ พายุได้ไปส่งทีปกรกับกันต์
นั่งอยู่ในร้านกาแฟใกล้ ๆ อัญมณีก็รู้สึกหดหู่ เธอก้มหน้า หมุนแหวนบนนิ้วไปเรื่อยแต่ก็ไม่พูดอะไร
ญาธิดามองมาที่เธอ แต่ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมเธอยังไง ได้แต่พูดไปว่า “อันอัน มันทำเรื่องนี้ ต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้แน่ เรารออีกสักหน่อยนะ อาจจะมีเบาะแสอื่นๆ ตามมา”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด รอยยิ้มบิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอัญมณี เธอเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มฝืนๆ”ธิดา หรือว่าพระเจ้าจะไม่อยากให้ฉันฟ้องมันนะ”
พูดแล้ว เธอก็เหลือบดูแหวนระหว่างนิ้วของเธอ พูดเบาๆ ว่า “ฉันอยากจดทะเบียนกับพายุแล้ว”
จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้ญาธิดาแปลกใจมาก “เธอจริงจังไหมเนี่ย”
อัญมณียิ้มแล้วพยักหน้า “จริงสิ ฉันอยากแต่งงานกับเขาแล้วจริงๆ”
ญาธิดายิ้ม “ก็ดีนี่”
อัญมณียื่นมือออกจับมือเธอเบาๆ “แต่เธอต้องช่วยฉันนะ ฝั่งพี่ฉันน่ะ ฉันคงทำอะไรไม่ได้แน่…”
ได้ยินอย่างนั้น ญาธิดา ธิดาขมวดคิ้วขึ้นมา จู่ๆ เธอก็นึกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับเธอและธีทัตในคืนนั้น เปิดปากแล้วแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
เมื่อเห็นท่าทีของเธอแบบนี้ อัญมณีก็รีบถาม “ธิดา เธอช่วยฉันได้ไหม”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ “จะให้ช่วยยังไง”
อัญมณีกะพริบตาด้วยรอยยิ้มว่า “ชิงสุกก่อนห่าม”
“ อะไรนะ” ญาธิดาตกใจ “หมายความว่ายังไง”
อัญมณีเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฉันกับพายุจะไปจดทะเบียนกันก่อน พอถึงตอนนั้นเขาก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
ได้ยินความกล้าหาญของเธอแบบนี้ ญาธิดาก็เบิกตากว้างอย่างแปลกใจ “เธอคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ย”
อัญมณีพยักหน้า “คิดดีแล้ว ครั้งนี้ฉันจริงจัง!”
เธอนิ่งไปสักพัก ใบหน้าหงอยลงนิดหนึ่ง “แต่ว่า ต้องเอาทะเบียนบ้านออกมา เท่าที่ฉันรู้คือทะเบียนบ้านอยู่ที่พี่ฉันน่ะสิ”
ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ญาธิดาก็รู้แล้ว เธอพูด “เธออยากให้ฉันขโมยทะเบียนบ้านออกมาให้เหรอ”
อัญมณีรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ขโมย แค่หยิบออกมาใช้”
แล้วเธอก็พูดว่า “ธิดา ตอนนี้มีแต่เธอเท่านั้นนะที่จะช่วยฉันได้”
ตอนนั้นเอง ญาธิดาก็นิ่งไป
อันอันพูดถูก เธอเป็นเพียงคนเดียวที่จะเอาทะเบียนบ้านมาจากธีทัตได้ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น ก็เท่ากับทรยศธีทัต
เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าไม่ได้
เธอได้สติกลับมา ก็มองเห็นความคาดหวังบนสีหน้าของอัญมณี สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “ฉันจะลองดูละกัน”
อัญมณีนัยน์ตาวาววับ “ธิดา ฉันรู้ว่าเธอจะต้องเต็มใจช่วยฉัน!”
ญาธิดายิ้ม ไม่พูดอะไร
ที่ประตูร้านกาแฟ ญาธิดาบอกลากับอัญมณีและพายุ จากนั้นก็จะขับรถกลับบ้าน
ใครจะรู้ว่าระหว่างทางจะได้รับโทรศัพท์จาก พยัคฆ์
ญาธิดากดไปที่หูฟังบลูทูธ ทันใดนั้น เสียงของพยัคฆ์ที่ตื่นเต้นก็ดังขึ้น “พี่ธิดา พวกเราเจอธีระแล้ว!”
ญาธิดาทั้งประหลาดใจและดีใจ “เจอแล้วหรอ”
“ใช่ ตอนนี้เขาอยู่กับเราแล้ว พี่ธิดา ถ้าพี่ว่างก็มาที่นี่หน่อยนะ”
ญาธิดาเบรกทันที กลับรถด้วยความเร็วสูงสุด “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ตอนที่ขับรถมาถึงแล้ว ญาธิดาก็ผลักประตูออก ก็เห็นร่างผู้ชาย เขาดูต่างไปจากคราวก่อนที่เธอเห็นในโณงพยาบาล ในตอนนี้ เขามีบาดแผลใหม่ตามร่างกาย ดูไม่สู้ดีนัก
ญาธิดาลดเสียงลง ถามพยัคฆ์ “เขา… เป็นอะไรไป”
“ถูกคนของภูผาไล่ตามมา บาดเจ็บสาหัสเกือบตาย ดีที่คนของเราช่วยเขาไว้ได้”
ญาธิดาตะลึงไปครู่หนึ่ง มองดูเขาด้วยความหวาดกลัวแล้วถามว่า “ทำไมคนของภูผาถึงทำกับเขาแบบนี้ล่ะ ทำร้ายเขาขนาดนี้แน่ใจนะว่าไม่ได้อยากจะรีบฆ่าเขา”
พยัคฆ์เสียงทุ้มต่ำลง “เพราะว่าเขาเคยไปล้างแค้นภูผาที่STN ยกถังน้ำมันไป ลาดใส่ห้องโถง แล้วก็จุดไฟ เรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่หลังจากนั้นก็ถูกคนที่ STN เก็บเรื่องไว้ได้ ค้นหาข่าวที่ไหนก็ไม่เจอ”
เมื่อได้ยินพยัคฆ์พูดแบบนี้ ญาธิดาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เธอเห็นชายที่มีบาดแผลเต็มตัว ในใจก็รู้สึกแย่
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเข้าไปข้างหน้า มองไปที่พระชราแล้วถาม “ท่านธีระคะ คุณจำเณรศีลได้ไหม เขาอาศัยอยู่กับเราตอนนี้ค่ะ”
ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของธีระก็ซีดเซียว เขาพูดอย่างเย็นชา “พวกแกจะทำอะไร”
ญาธิดาพูดเบาๆ “ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากให้พวกคุณได้อยู่ด้วยกัน เขาอยู่ข้างนอกคนเดียวมานาน ก็ลำบากมามาก”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ สีหน้าของธีระก็ยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่อใจ ไม่อยากจะเชื่ออะไร
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านธีระ เมื่อไหร่คุณถึงจะเชื่อว่า พวกเราต้องการช่วยคุณจริงๆ”