ดวงใจภวินท์ - บทที่ 601 แสดงให้เธอดูหรือเปล่า
ความทรงจำของญาธิดาที่มีต่อแพรวาหยุดอยู่เมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นเธอเป็นดาราซูเปอร์สตาร์ตัวท็อป เธอสนิทสนมกับภวินท์มากกว่าคนรอบข้าง หลังจากที่เธอไปต่างประเทศ ก็ไม่เคยได้ข่าวอีกเลย
พอกลับประเทศมาอีกครั้ง ชื่อ “แพรวา” นั้นเป็นเหมือนลมพายุ หลังจากที่พัดผ่านไป ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ไม่คิดว่า เธอทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้ง
จนวันนี้ ฉันไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่ข้างภวินท์พอมองทั้งสองคนนี้แล้ว ดูเหมือนจะสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่นๆ เพราะตอนนี้ภวินท์ได้หย่าร้างกับนิวราไปแล้ว ข้างกายเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของญาธิดาถึงได้รู้สึกว่างเปล่า อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ดวงตาของเธอกวาดมองไปที่โต๊ะของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ เห็นได้ชัดว่า เมื่อกี้ภวินท์ก็เห็นเธอเหมือนกัน แต่ตอนนี้ เขามองแพรวาที่นั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าอ่อนโยน มุมปากยกยิ้ม แทบจะไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา
เธอสูดจมูก ไม่รู้ว่าควรต้องพูดยังไง ความรู้สึกมากมายก่อตัวขึ้นในใจของฉัน
และทันใดนั้นเอง ธีทัตเรียกชื่อเธอเบาๆ “ธิดา เป็นอะไรครับ?”
ญาธิดาหลุดจากภวังค์เมื่อสักครู่ รีบขอโทษเขาแล้วยิ้มกลบเกลื่อน แล้วตอบเสียงเบาว่า “เปล่าค่ะ เมื่อกี้ฉันคิดอะไรนิดหน่อย……”
“ครับ” ธีทัตพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “เรื่องที่ผมพูดเมื่อกี้ คุณรู้สึกยังไงครับ?”
ญาธิดาสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน “คะ? เรื่องอะไรคะ?”
ธีทัตไม่ได้รีบร้อนมาก เขาเกี่ยวยิ้มขึ้น แล้วพูดสิ่งที่เขาพูดเมื่อสักครู่อีกรอบ “เราจะจัดงานแต่งย้อนหลังที่เมืองJกันนะครับ เหตุผลข้อที่หนึ่งก็คือเราไม่ได้จัดงานแต่งกันตั้งแต่แรก พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เข้าร่วม ผมรู้สึกเสียดายนิดหน่อย เหตุผลที่สองก็คือผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าคุณคือภรรยาของผม ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่คนอื่นพูดกันไปมั่ว”
ญาธิดาหลับตาลง หัวใจของเธอยุ่งเหยิงมาก หัวใจตรงกลางอกของเธอเต้นอย่างรุนแรง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ตอนแรกที่เธอตกลงคบกับธีทัตเพราะว่าในวัยเจริญเติบโตของลูกแฝดนั้นต้องการมีพ่อคนหนึ่ง และธีทัตเป็นตัวเลือกที่ดีสุดอย่างไม่ต้องคิด บวกกับเขาเห็นด้วยอย่างมาก ฉะนั้นทั้งสองจึงจดทะเบียนสมรสกันอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่คิดว่า จะอยู่ด้วยกันมาถึงห้าปี อีธานและเอลล่าและยอมรับเขาเป็นพ่อของพวกเขา และเธอก็ไม่อยากจะทำลายความฝันนี้ จึงอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้อย่างงงๆ แต่ตอนนี้ เธอควรจะเลือกได้แล้ว ว่าจะยอมรับเขา หรือจะเลิกกับเขา
ในขณะที่เธอเหม่อนั้น ธีทัตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามล้วงมือเข้าในกระเป๋าชุดสูท ลูบคลำอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบกล่องกำมะหยี่ออกมา เขาค่อยๆ เปิดมันออก และเปิดปากกล่องไปทางญาธิดา แหวนเพชรเม็ดงามนอนนิ่งอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำ
หัวใจของญาธิดากระตุกเบาๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหมือนเขารู้ว่าเธออยากจะถามอะไร ธีทัตพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “จริงๆ แล้วแหวนวงนี้สั่งทำเสร็จสักพักแล้ว ผมพกติดตัวตลอด แต่แค่ไม่ได้บอกคุณ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เหมือนหนามที่แทงเข้ามาในใจของผม ด้านในเลือดไหลไม่หยุดแต่ก็ดึงมันออกมาไม่ได้สักที ผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว มีเรื่องบางอย่างที่ผมจำเป็นต้องบอกคุณ”
น้ำเสียงของเขาจริงจัง สายตาแน่วแน่ ญาธิดามองเขา รู้สึกตื้นตันเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก เธอสูดหายใจเข้า ในหัวของเธอมีแต่คำว่าตกลงหรือไม่ตกลงสองตัวเลือกวนไปวนมา แต่ขณะนั้นเอง เธอก็นึกถึงอะไรบางอย่าง
เธอรีบเงยหน้าขึ้น มองไปยังอีกโต๊ะหนึ่ง ภวินท์และแพรวาไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่ ทั้งสองใกล้ชิดกัน ใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศดูกลมกลืนกันอย่างมาก ชายหล่อหญิงสวย ค่อนข้างสะดุดตา แต่กลับเหมาะสมกันมาก
หัวใจของญาธิดารู้สึกชา เธอรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ หลังจากที่นิ่งไปสักพัก เธอก็หันหน้ากลับมา กัดริมฝีปากตัวเอง รู้สึกลังเลไม่รู้ว่าควรต้องเลือกอะไร
หลังจากนั้นสองวิ เธอก็เรียกสติกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วมองธีทัตตรงหน้าที่นั่งรอคำตอบของเธอด้วยสายตาที่คาดหวังเป็นอย่างมาก จนเธอรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
สถานการณ์แบบนี้ ทำไมเธอยังมีอารมณ์ไปคิดถึงภวินท์กัน? นอกจากนี้ เขามีความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้ ทำไมเธอจะมีชีวิตใหม่ไม่ได้ล่ะ?
เธอยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เงยหน้าขึ้น แล้วเห็นภาพที่แพรวาใช้ตะเกียบคีบอาหารให้ภวินท์พอดี ทั้งสองส่งรอยยิ้มให้กัน หวานแหววและอบอุ่น หวานจนมดแทบจะขึ้นมากินอาหารบนโต๊ะแล้ว!
เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ หลับตาลงสักพัก และในที่สุดก็เงยหน้ามองธีทัต “ค่ะ ฉันตกลงค่ะ”
ธีทัตที่ลุ้นคำตอบจนตัวแข็งเมื่อสักครู่ พอได้ยินคำตอบนี้ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นมาทันที “ดีมากเลยครับ!”
ระหว่างพูด เขาก็ชูกล่องแหวนขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมากๆ ว่า “ผมสวมแหวนให้คุณได้ไหมครับ?”
ญาธิดาหัวเราะ ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด แล้วยื่นมือไปตรงหน้าเขา แล้วมองเขาค่อยๆ สวมแหวนวงนั้นให้เธอ ขนาดกำลังพอดีไม่ได้ใหญ่หรือเล็กเกินไป ทำให้มือของเธอดูหรูหรามากกว่าเดิม ญาธิดารู้สึกบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
วินาทีนี้ ค่อนข้างกะทันหัน ญาธิดาเหมือนกำลังฝันอยู่ เธอมองนิ้วแวบหนึ่ง แสงสะท้อนจากวงแหวนสีเงิน เพชรที่แวววาว
ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเธออยู่ ญาธิดาสูดหายใจเข้า ก้มหน้าลงอย่างรู้ตัว แล้วมองไปยังต้นทาง ภวินท์ที่นั่งอยู่โต๊ะนู้นกำลังก้มเล่นโทรศัพท์อยู่ ไม่ได้มองเธอเลยแม้แต่น้อย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอียงหัวเล็กน้อย คิดไปเองงั้นหรอ?
และในขณะนั้นเอง เสียงของธีทัตก็ดังขึ้น “ขนาดกำลังพอดีเลยนะครับ เรารีบทานข้าวกันเถอะ ทานเสร็จเดี๋ยวผมส่งคุณกลับบ้าน”
เธอเงยหน้า แล้วยิ้มให้เขา แล้วตอบเสียงเบาว่า “ค่ะ”
หลังจากนั้นยี่สิบนาที พวกเขาก็ทานเสร็จ แล้วออกจากร้านอาหาร พวกเขาเพิ่งลุกออกจากโต๊ะ สีหน้าของภวินท์ก็เปลี่ยนไปทันที เขาตกอยู่ในภวังค์
แพรวาที่นั่งอยู่ตรงข้ามดื่มน้ำผลไม้ จ้องเขาอยู่สักพัก แล้วหัวเราะออกมาอย่างอ่อนหวาน “ดูเหมือนว่า คุณภวินท์ของพวกเราอาการจะหนักมากนะคะ!”
พอได้ยินน้ำเสียงที่ออกแนวเยาะเย้ย ภวินท์ขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างเย็นชา “พูดอะไรไร้สาระหน่า?”
แพรวาหัวเราะ แล้วใช้คางชี้ไปทางที่ญาธิดานั่งเมื่อสักครู่ เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ที่ยิ้มให้ฉันขนาดนั้น เพราะแสดงให้คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นดูใช่ไหม? ”
ภวินท์หัวเราะอย่างขมขื่น “เหอะ เธอนี่รู้ดีจริงๆ”
เดิมทีเขามาหาแพรวาที่นี่เพราะมีธุระ แต่ไม่คิดว่าแค่กินข้าวเฉยๆ จะบังเอิญเจอญาธิดาและธีทัต พอเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อกี้เขาพยายามควบคุมตัวเองตลอด ต่อหน้าญาธิดา พยายามทำตัวปกติ แต่ไม่คิดว่า จะโดนแพรวาจับได้อยู่ดี
แพรวาหัวเราะ หั่นสเต๊กอย่างผู้ดี พูดติดตลกว่า “ชอบก็รีบจีบสิ ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อห้าปีก่อนสักหน่อย ฉันไม่อิจฉานางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ภวินท์มองเธอแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะ “ใช่สิ ก็ตอนนี้เธอเป็นเจ้าของของสนามกอล์ฟSRแล้วหนิ มีทั้งอำนาจและเงินทอง เพรียกพร้อมทุกอย่าง”
แพรวาได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มบนหน้าแห้ง จากนั้นก็พูดเชิงกระซิบว่า “เจ้าของอะไรกัน ถ้าตอนนั้นนายตอบรับฉัน ฉันก็จะเลือกนาย อย่าเสียใจทีหลังเลยนะ”
ระหว่างพูด สายตาของเธอก็ล็อกอยู่ที่ภวินท์
ภวินท์ทำเหมือนมองไม่เห็น ยกไวน์ขึ้นจิบ พูดด้วยน้ำเสียงปกตติ “ยังไงแล้ว เรื่องที่คุยกับเธอวันนี้ฝากด้วยล่ะ ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็ไม่เป็นไร”
แพรวาหัวเราะ แล้วกลับมาทำท่าเฉยเมยเหมือนก่อนหน้านี้ “ไม่ต้องกังวลนะ! ฉันจะพยายาม”
“ดี งั้นฉันขอตัวก่อน”
ภวินท์พูดเสร็จ ใช้ทิชชูซับปาก และในขณะที่เขากำลังจะบังคับวีลแชร์นั้น ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาหันกลับไปมองแพรวา แล้วถามว่า “ที่นี่มีกล้องวงจรไหม?”