ดวงใจภวินท์ - บทที่ 627 ผู้ที่ปลุกปั่น
บทที่ 627 ผู้ที่ปลุกปั่น
หลังจากเดินทางผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดญาธิดากับเณรศีลก็ไปถึงที่หมาย
พวกเขาได้ย้ายคนออกจากสถานที่ครั้งก่อนแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในชุมชนทรุดโทรม ธีระถูกขังอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่ง ด้านนอกมีสองผู้คุ้มกันเฝ้าอยู่
เมื่อญาธิดามาถึงหน้าประตู พยัคฆ์รออยู่ที่นั่นล่วงหน้าแล้ว “พี่ธิดา รอพี่อยู่นานแล้วครับ”
ทันทีที่เห็นเธอ พยัคฆ์ก็ยิ้มให้เธอ และหาคำพูดมาคุยด้วย
ญาธิดาไม่มีอารมณ์ เธอยิ้มมุมปากให้เขาแล้วถามเสียงเบา “ตอนนี้ท่านธีระอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในห้องนอนครับ” พยัคฆ์พูด สายตาค่อยๆ กวาดมองไปยังเณรศีล ก่อนจะพูดนิ่งๆ “พี่ตั้งใจพาเขาเข้าไปเลยเหรอครับ”
ญาธิดาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติอย่างรวดเร็ว เธอโน้มตัวลงพูดปลอบเสียงเบา “เณรศีล ฉันจะไปดูสถานการณ์หน่อย เธอรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ไม่นานฉันก็ออกมา”
เมื่อได้ยินดังนั้น เณรศีลพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและพูดเสียงเบา “ครับ งั้นผมจะรอพี่อยู่ที่นี่”
พูดอย่างนั้นแล้วพยัคฆ์ที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาจูงเณรศีลออกไปเดินเล่น จากนั้นญาธิดาแอบถอนหายใจโล่งอก แล้วเดินไปยังประตูห้องนอนห้องนั้น บอดี้การ์ดเปิดประตู เธอค่อยๆ เดินเข้าไป
ในห้องนอน ธีระนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แผ่นหลังค้อมลงมากขึ้น เขาผอมเหมือนไม้แห้ง นั่งอยู่ตรงนั้น แม้ได้ยินเสียงประตูเปิดแต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน
ญาธิดายืนนิ่งเฝ้าดูเขาอยู่นาน ก่อนจะพูดว่า “ท่านธีระ”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ ร่างนั้นขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันมาและไม่ได้พูดอะไร
ญาธิดาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว มองเขาแล้วพูดว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อคุยกับคุณ”
ธีระยังคงไม่ขยับ ญาธิดาเฝ้ารอ สุดท้ายก็เดินไปนั่งยังเก้าอี้อีกฝั่ง และพูดเสียงเบาราวกับพึมพำกับตัวเอง “คนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีที่ต้องตัดใจยอมแพ้ เผชิญหน้ากับความเกลียดชัง บางคนเลือกแก้แค้นอย่างสิ้นหวัง และบางคนก็เลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็หันไปมองทางธีระ เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านธีระ คุณเข้าใจหลักการของการให้อภัยและการชดใช้ดีกว่าฉัน แทนที่จะอยู่กับความเกลียดชังและการแก้แค้นไปตลอดชีวิตที่เหลือ ทำไมไม่เลือกพาคนรอบข้างที่ควรให้ความสำคัญไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ล่ะ”
ในที่สุดธีระก็ขยับเขยื้อนเล็กน้อย เขาหันหน้ามา รูม่านตาสีเทาสั่นไหวบางเบา
ญาธิดาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยืนขึ้นและพูดเสียงเบา “คำพูดพวกนี้คือทั้งหมดที่ฉันคิด ฉันคิดว่าคุณก็คงคิดถึงเณรศีลมากฉันพาเขามาด้วย”
คราวนี้ สีหน้าของธีระเปลี่ยนไป แววตาเปล่งประกาย
ญาธิดาเดินไปที่ประตู เปิดประตูแล้วมองเณรศีล เอ่ยเรียกเสียงเบา “เณรศีล มานี่สิ”
เมื่อได้ยินเสียง เณรศีลก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและวิ่งเข้าหา
ญาธิดาก้มหน้าลงลูบศีรษะเล็กของเขาและพูดเสียงเบา “เข้าไปสิ”
เณรศีลพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเณรศีลเรียกด้วยความตื่นเต้น “ท่านธีระครับ…”
เธอปิดประตูเบาๆ ขอบตาชื้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เธอเดินไปนั่งลงบนโซฟาเงียบๆ ความรู้สึกภายในใจค่อนข้างแปลก
ในเวลานี้ พยัคฆ์ที่อยู่แถวนั้นเดินข้ามา เห็นเธอดูเศร้า จึงหาหัวข้อมาสนทนากับเธอ “พี่ธิดา …ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
ทันใดนั้นญาธิดาก็นึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมองเขาและตอบเสียงเบา “ก็ดี”
จากนั้นเธอนิ่งไปก่อนจะถามอีกครั้ง “ช่วงนี้ในบริษัทเป็นยังไงบ้าง”
ทันทีที่พูดถึงบริษัท ใบหน้าที่ผ่อนคลายของพยัคฆ์ก็กลายเป็นจริงจัง เขาส่ายหน้าและตอบตามจริง “ไม่ค่อยดีเท่าไรครับ”
ญาธิดาถามต่อ “คือยังไง”
พยัคฆ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดว่า “ช่วงนี้ ในบริษัทมีคนลาออกจำนวนมาก อยู่ก็ไม่อยู่แถมยังแพร่ข่าวลือต่อบริษัทในทางเสียๆ หายๆ อีก ป่วนจนทุกคนพากันแตกตื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ญาธิดาก็ขมวดคิ้วฉับพลัน และภาพที่เธอบังเอิญเจอเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นในสมอง ตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นกำลังโน้มน้าวให้ผู้หญิงอีกคนลาออกโดยเร็วที่สุด
ปรากฎว่านี่ไม่ใช่แค่กรณีเดียว แต่มันเป็นปรากฏการณ์โดยแพร่หลาย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามว่า “ไม่มีการตรวจสอบเหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
พยัคฆ์ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่มีทางตรวจสอบได้ครับ ช่วงนี้ทางกรุ๊ปวุ่นวายจริงๆ ธุรกิจหลักในเครือหลายแห่งรวมถึงหุ้นล้วนได้รับผลกระทบ บวกกับมีคนแพร่ข่าวลือที่มุ่งร้าย ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้นตามลำดับ ควบคุมไม่ได้เลย”
ญาธิดาขมวดคิ้ว เกิดอาการอับจนหนทางไปชั่วขณะ
หากกระแสในตอนนี้ยังดำเนินต่อไป มันจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นวงจรอุบาทว์ จะมีคนออกจากบริษัทมากขึ้น บวกกับมีคนจงใจปลุกปั่น เกรงว่าSTN Groupจะเกิดความยุ่งเหยิงครั้งใหญ่อีกในไม่ช้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดอีกครั้ง “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ภูผาส่งมา เขายังไม่ปรากฏตัว ซ่อนตัวมาตลอด คงจะกำลังอดกลั้นไว้เพื่อรอเล่นเล่ห์เหลี่ยมครั้งใหญ่บางอย่าง…”
พยัคฆ์พูดอย่างปวดใจ “ปัญหาคือไม่มีหลักฐาน และคนก็ไม่อยู่กันแล้ว เรื่องนี้รอช้าไม่ได้อีก”
ญาธิดาเงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก เธอถึงพูดอย่างหนักแน่น “แล้วทำไมไม่ลองเปลี่ยนคนยกแผงไปเลยล่ะ”
“เปลี่ยนคนเหรอครับ”
ญาธิดาพยักหน้าและพูดอย่างหนักแน่น “ใช่ ก่อนอื่นหาคนที่ปล่อยข่าวลือไปทั่ว แล้วเปลี่ยนพวกเขา จากนั้นหาคนใหม่ใส่เข้าไปในบริษัท ด้านหนึ่งสามารถทำความสะอาดบริษัท กำจัดผู้ไม่เห็นด้วยตั้งตนเป็นศัตรู และยังสามารถฉีดสายเลือดใหม่เข้าบริษัทได้ด้วย”
พยัคฆ์ส่ายหน้า “คุณภวินท์ก็คิดแบบนี้ครับ แต่คนพวกนี้หาตัวจับยาก กล้องวงจรปิดถ่ายไม่ได้ และพวกเขาคุยกันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า เราก็ไม่รู้”
ญาธิดาพูดยิ้มๆ “ฉันรู้ว่าจะจับยังไง”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็หากระดาษและปากกาแถวนั้น เอามาวาดและทำเครื่องหมายสถานที่นั้น
พยัคฆ์ที่อยู่ข้างๆ มองดูแล้วไม่เข้าใจเลย “โซนพักผ่อน ระเบียงเล็ก โซนน้ำชา โรงอาหารพนักงาน…”
เมื่อเห็นญาธิดาวาดสถานที่มากมาย เขาอดไม่ได้ที่จะสอบถาม “พี่ธิดา สิ่งเหล่านี้หมายความว่าอะไรครับ”
“โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ปลุกปั่นมักจะเกลี้ยกล่อมล้างสมองพวกพนักงานตามสถานที่เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดบอดบางแห่งที่ไม่มีกล้องวงจรปิด เพราะงั้นหากต้องการจับคนพวกนี้ก็ไม่ยาก ตราบใดที่มีการกำหนดสถานที่และเวลาที่เหมาะสม พวกคุณส่งคนแปลกหน้าไป อย่าสวมชุดทำงาน แล้วจะจับได้อย่างแม่นยำ”
พยัคฆ์มองเธออย่างอึ้งๆ “พี่รู้ดีขนาดนี้ได้ยังไงครับ”
ญาธิดากระตุกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไร
ก่อนหน้านี้เธอก็เคยมีประสบการณ์การทำงานในSTN Groupมามากกว่าสองปี เธอรู้สถานการณ์ทั่วไปภายในบริษัทพอสมควร โดยปกติเพื่อนร่วมงานจะพูดคุยกันเฉพาะตอนที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด มีหลายแห่งที่มักเป็นศูนย์กลางของการซุบซิบ และตอนนี้ผู้ที่ปลุกปั่นจะต้องเริ่มในสถานที่เหล่านั้นอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย
และผู้หญิงมัดผมหางม้าสูงที่เธอพบเมื่อวานซึ่งกำลังล้างสมองเพื่อนร่วมงาน ก็คงจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกซื้อด้วย
สรุปได้ว่า เธอสามารถอุปมานพฤติกรรมและนิสัยของคนเหล่านั้นได้
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉันเท่านั้น คุณสามารถกลับไปคุยกับภวินท์ได้ แต่จำไว้นะ อย่าบอกว่าฉันเป็นคนบอก”
พยัคฆ์ได้ยินอย่างนั้นแล้วยิ้มอย่างลึกลับ และพยักหน้า “ตกลงครับ ผมจะเก็บเป็นความลับ”
ระหว่างทั้งสองพูดคุยกัน ประตูห้องของธีระก็ถูกเปิดจากด้านใน ทันทีที่ญาธิดาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นธีระกับเณรศีลยืนอยู่ตรงประตู
ตาโตของเณรศีลยังคงคลอไปด้วยน้ำตา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืนขึ้นช้าๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ก็ได้ยินธีระพูดว่า “ฉันคิดดูแล้ว คุณพูดถูก แทนที่จะอยู่กับความเกลียดชัง ควรอยู่อย่างมีชีวีตที่ดีดีกว่า”