ดวงใจภวินท์ - บทที่ 632 รีบเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า
ความรู้สึกหวาดกลัวขั้นรุนแรงห้อมล้อมเกล้าแก้ว เธอต้องการหลุดพ้นจากมือที่โหดร้ายดั่งปีศาจ แต่ทำอย่างไรก็เปิดมันไม่ออก
มือของภูผาออกแรงขึ้นอีก และบีบบังคับถามอย่างไร้ความปราณี “ตอบฉัน!”
ภายใต้ความตื่นตระหนก เกล้าแก้วหายใจลำบาก เธอหน้าเขียว และพูดอย่างลำบาก “เด็กคนนี้ ฉัน…ฉันอยากเก็บไว้!”
เมื่อภูผาได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน และปล่อยมือออก
เกล้าแก้วสูดหายใจเข้าลึก ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว มองเขาด้วยสายตาที่มีแต่ความหวาดกลัว
ภูผาจ้องเธอเขม็ง นิ่งไปไม่กี่วินาทีก่อนจะถามว่า “ในเมื่อต้องการเก็บไว้ ทำไมไม่บอกฉัน”
เกล้าแก้วกัดฟัน สูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับพูดว่า “ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ต้องการเขา…”
เมื่อสิ้นเสียงของเธอ บริเวณโดยรอบพลันเงียบลง บรรยากาศเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและความกระอักกระอ่วน หลังจากทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครพูดขึ้นมาก่อน
ในที่สุด ภูผาก็สีหน้าเปลี่ยน จ้องมองด้วยสายตามืดมน
เขาพูดว่า “เรื่องเก็บหรือไม่เก็บ ฉันจะตัดสินใจเอง”
เขาทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วเดินออกไป ก้าวกว้างออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูอย่างแรง
เสียงดัง “ปัง!” เกล้าแก้วตัวสั่นอย่างรุนแรง กระทั่งเสียงฝีเท้าหายไป จากนั้นบริเวณโดยรอบเงียบสนิท เส้นประสาทที่ตึงเครียดของเธอจึงค่อยๆ คลายลง
เหตุผลที่เธอทำอย่างนั้นเมื่อครู่ เพราะกลัวว่าถ้าภูผารู้ว่าเธอไม่ต้องการเก็บเด็กคนนี้ไว้แล้วจะโกรธมาก ดังนั้นเธอจึงจงใจตอบตรงข้าม
คิดไม่ถึงว่าการเดิมพันนี้กลับเป็นการเดิมพันที่ถูกต้อง
เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของภูผา เขาน่าจะต้องการเก็บเด็กคนนี้ไว้ แต่เขาลังเล ลังเลว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ดีหรือไม่
สรุปแล้ว เธอไม่สามารถนั่งรอความตายได้อีกต่อไป เธอต้องหาทาง ต้องหนีออกไป หนีออกไปจากวิลล่าหลังนี้ หนีจากฝ่ามือของภูผา มีแค่แบบนี้ เธอถึงจะสามารถทำตามหัวใจของตัวเองตัดสินชะตากรรมของชีวิตนี้
ในไม่ช้า ท้องฟามืดลงเรื่อยๆ เกล้าแก้วไม่ได้ทานอาหารเย็น ล็อคประตู นอนนิ่งอยู่บนเตียงจนถึงเที่ยงคืน จากนั้นจึงกล้าซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ
เธอรีบค้นหากล่องโต้ตอบของญาธิดาบนไลน์ แล้วพิมพ์ข้อความบอกสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองส่งไปให้เธอ
เดิมทีคิดว่าเวลานี้ญาธิดาคงพักผ่อนไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเพิ่งส่งข้อความไปไม่กี่นาที คำตอบของญาธิดาก็ส่งกลับมา
“ฉันช่วยเธอได้”
เมื่อเห็นคำเหล่านี้ เกล้าแก้วตัวสั่นฉับพลัน เลือดในกายสูบฉีดพุ่งขึ้นหัว เธอทั้งตื่นเต้นและดีใจ ถ้อยคำสะเปะสะปะไม่ปะติดปะต่อ ขณะที่ไม่สามารถบรรยายความขอบคุณได้ มือถือก็กะพริบ และมีอีกข้อความส่งเข้ามา
“แต่ครั้งนี้ที่ฉันช่วยเธอ ไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นเพื่อนในสมัยก่อน เธอเคยหักหลังฉันครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ที่ฉันช่วยเธอ ฉันก็มีจุดประสงค์ของตัวเองเหมือนกัน เจอกันเมื่อไร ฉันมีคำถามจะถามเธอ และเธอต้องบอกฉันตามจริง”
เกล้าแก้วอ่านแล้วน้ำตาจะไหลออกหางตา ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ความจริงที่เธอเดินมาถึงจุดนี้มันไม่ต้องไปสงสัยคนอื่นเลย แค่ญาธิดาเต็มใจช่วยเธอก็ทำให้เธอประหลาดใจแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึก ขยับนิ้วพิมพ์ตอบ “ได้สิ ตราบใดที่เธอช่วยฉันออกไป ฉันยินดีบอกเธอทุกอย่าง”
ในเวลาเดียวกัน ญาธิดาที่อยู่อีกฝั่งกำลังนั่งพิงหัวเตียง หลังจากเห็นข้อความนี้ ทันใดนั้นก็ตกอยู่ในห้วงความคิด เธอถือโทรศัพท์พลางครุ่นคิด และสุดท้ายก็ส่งข้อความกลับไปว่า “โอเค งั้นเธอต้องฟังคำสั่งของฉัน พรุ่งนี้…”
หลังจากส่งแผนของตัวเองไป เธอก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เลยเที่ยงคืนแล้ว แต่เธอไม่ง่วงเลย หลังจากติดต่อกับเกล้าแก้วในวันนี้ จิตใจเธอเลื่อนลอย ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
แม้บอกว่าการช่วยเหลือเกล้าแก้วนั้นที่จริงเพราะเธอเห็นแก่ตัว แต่เหตุผลมากกว่านั้นก็คือเพราะเธอไม่สามารถมองดูเพื่อนเก่าของตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมานได้
แผนการในวันพรุ่งนี้ จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลว
เธอตัดสินใจอย่างลับๆ แล้วปิดโทรศัพท์มือถือ บังคับตัวเองให้หลับ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าจิตใจยังสับสนวุ่นวาย แต่ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นาฬิกาปลุกยังไม่ทันดัง ญาธิดาก็ตื่นเองแล้ว เธออาบน้ำตามปกติ ปลุกเจ้าตัวน้อยให้ลุกขึ้น ทานอาหารเช้า อ่านหนังสือ แต่จิตใจกลับไม่สงบอยู่ตลอด โทรศัพท์มือถืออยู่ข้างตัว ไม่ปล่อยแม้วินาทีเดียว
เธอต้องรอ รอทางฝั่งเกล้าแก้วติดต่อเธอมา
เวลาเช้าผ่านไปในชั่วพริบตา เธอสูดหายใจเข้าลึก วางแผนเวลาในใจ ระหว่างทางไปโรงพยาบาล รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เธอคิดไปคิดมา ก่อนจะต่อสายโทรออกในที่สุด
ไม่นาน เสียงของพยัคฆ์ก็ดังมาจากอีกฝั่ง “ฮัลโหลครับพี่ธิดา หายากนะครับที่พี่โทรหาผมก่อน!”
พยัคฆ์ล้อเล่นกลับมา แต่ครั้งนี้ญาธิดาไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเขา เธอสูดหายใจเข้าลึก และพูดเน้นทุกคำอย่างจริงจัง “พยัคฆ์ นายช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”
อีกฝั่งนิ่งไปก่อนจะถามทันที “เรื่องอะไรครับพี่ พูดมาได้เลย”
ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดเสียงเบา “นายมาหาฉันหน่อย มาช่วยทำเรื่องหนึ่งกับฉัน…”
ไม่นานเธอก็ได้คำตอบรับจากเขา หลังจากมาถึงโรงพยาบาล หัวใจของเธอถึงค่อยสงบลง
ที่เหลือขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของทางฝั่งเกล้าแก้ว
บ่ายสองโมง เกล้าแก้วนั่งอยู่ในห้องนอน หลังจากแอบโทรศัพท์มือถือไว้ใต้ผ้าห่มแล้วส่งข้อความให้ญาธิดาแล้ว จากนั้นจึงเอาโทรศัพท์ซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านในสุดของเสื้อ เมื่อทำทั้งหมดนี้แล้ว เธอจึงนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ สีหน้าของเธอก็ดูแย่ลง คิ้วขมวด มือกุมท้อง ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูอย่างยากลำบาก แล้วตบๆ ประตู
ตั้งแต่เมื่อวาน เธอถูกขังอยู่ในห้องนอน มีอาหารสามมื้อต่อวัน และด้านนอกมีคนใช้คอยเฝ้าประตูอยู่ตลอดเวลา เธอไม่มีโอกาสได้ออกไปข้างนอก
เธอตบประตูแรงๆ เรียกขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนแอและเจ็บปวด “มีใครอยู่ไหม ฉันปวดท้อง…ปวดมาก!”
ไม่นาน คนด้านนอกก็เปิดประตูห้อง ป้าอยู่หน้าประตู มองเธอด้วยความตื่นตระหนก “คุณแก้ว เป็นอะไรไปคะ”
เกล้าแก้วร่างกายอ่อนปวกเปียก พิงกำแพงข้างๆ ไปทั้งตัว ค่อยๆ เลื่อนลงจนนั่งยองๆ กับพื้นในที่สุด มือกุมท้อง บนหน้าผากชื้นเหงื่อ “อยู่ดีๆ ฉันก็ปวดท้อง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน…”
เธอพูดอย่างอ่อนแรง สีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุด
ทันใดนั้น สีหน้าของป้าก็ซีดเผือด ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูก “ฉันจะไปแจ้งคุณผู้ชาย…”
เธอกำลังจะจากไป ใครจะรู้ว่ากลับถูกเกล้าแก้วรั้งไว้ “คุณป้า จริงๆ นะ ฉันปวดท้อง…ทนไม่ไหวแล้ว…รีบช่วยฉันเร็ว!”
เห็นได้ชัดว่าป้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงพยายามช่วยเธอ “…เอ่อ แบบนี้ต้องไปหาหมอนะคะ…”
เกล้าแก้วอ่อนแอมากจนช่วยตัวเองไม่ได้ เธอน้ำตาคลอเต็มดวงตา เหมือนเจ็บปวดจนเหลือทน “ได้โปรด รีบโทรเรียกรถพยาบาล…เรียกรถพยาบาล!”
เมื่อป้าได้ยินคำพูดนี้ถึงได้มีสติ ตอบรับซ้ำๆ “ได้…ได้ค่ะ! ป้าจะเรียกเดี๋ยวนี้!”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอจึงหยิบมือถือออกมาโทรเรียกรถพยาบาล