ดวงใจภวินท์ - บทที่ 634 การมีลูกต้องรอบคอบ
บทที่ 634 การมีลูกต้องรอบคอบ
สีหน้าของภูผาคล้ำเขียวและน่าเกลียดในฉับพลัน เขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ ตอนเขาได้รับสายจากลูกน้อง ปฏิกิริยาแรกคือเขาถูกเกล้าแก้วตลบหลัง ญาธิดาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลเวลานี้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
เขาคิดไว้แล้ว วันนี้ต่อให้จะยากเย็นแค่ไหนก็ต้องเอาคนกลับไปให้ได้ แต่ไม่คาดคิดว่าภวินท์จะปรากฏตัว ยื่นเท้าเข้ามาแส่
เขาระงับอารมณ์ในหัวใจ ฉีกรอยยิ้มพลางมองภวินท์แล้วพูดว่า “พี่ชาย คุณไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กับผมไปทุกที่จริงไหม”
ภวินท์ตอบอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กับนาย แต่นายอย่าพยายามจะยุ่งกับคนของฉัน”
“คนของคุณ?” ภูผายิ้มเยาะและพูดเสียงเบา “เท่าที่ผมรู้ผู้หญิงที่อยู่ข้างในคือญาธิดา เป็นคนที่มีครอบครัว มีสามีมีลูก เธอไปมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ภวินท์พูดโดยเปลือกตาไม่กะพริบ “เธอเป็นอดีตภรรยาของฉัน ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้หนึ่งวัน ฉันก็ยินดีจะปกป้องเธอหนึ่งวัน”
เมื่อสิ้นเสียง ความเงียบก็เกิดขึ้นโดยรอบ ไม่มีใครคาดคิดว่าภวินท์จะพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาภูผาก็ฉายแววดูถูก พูดเน้นคำต่อคำ “ต่อให้เป็นแบบนี้ คุณก็ขวางไม่ให้ผมค้นหาคนของผมไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เมื่อครู่มีคนเห็นกับตาว่าคนทางฝั่งพวกคุณพาคนของผมเข้าไป ตอนนี้ผมจะพาเธอไป คงจะไม่นับว่ามากเกินไปหรอกนะ”
ภวินท์ได้ยินคำพูดนั้น ไม่ได้ตอบเขาโดยตรงแต่เงยหน้าขึ้นมองพยัคฆ์และถามว่า “ในนั้นนอกจากญาธิดาแล้วยังมีใครอีก”
พยัคฆ์ไม่มีความลังเล ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในห้องมีแค่พี่ธิดาคนเดียวครับ ตอนนี้เธอไม่ค่อยสบายและต้องการพักผ่อน คนนอกไม่ควรรบกวนเธอครับ”
เมื่อได้ยิน ภวินท์ก็พยักหน้าแล้วมองไปที่ภูผา ถามเสียงเย็นชา “ได้ยินหรือยัง”
ภูผาโกรธจนควบคุมไม่ได้ ความโกรธในสีหน้าระงับไม่อยู่อีกต่อไป “ลำพังแค่คำพูดพวกคุณฝ่ายเดียว จะให้คนอื่นเชื่อได้เหรอ”
ภวินท์ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “หึ ฉันมองว่านายจงใจมาหาเรื่องมากกว่ามั้ง”
พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย “แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การค้นหาในห้องพักผู้ป่วย ภูผา นายควรไปตรวจสอบลูกน้องในบริษัทของนายมากกว่า ฉันเพิ่งได้ยินมาว่ามีคนในบริษัทพวกนายยอมมอบตัวแล้ว บอกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขายักยอกเงินจากหลายโครงการ”
ภูผาสีหน้าซีดเผือดไปทันใด เขาขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเหลือบมองดูโดยอัตโนมัติ และสีหน้าก็เปลี่ยนไปมากอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองภวินท์ด้วยสายตาที่เย็นชามากอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นจับจ้องประตูของห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง และพูดด้วยเสียงที่ชัดเจนและเย็นชาว่า “เกล้าแก้ว เธอหลบซ่อนได้ในตอนนี้แต่หลบซ่อนไปตลอดชีวิตไม่ได้ วันหนึ่งเธฮต้องเสียใจภายหลังกับการเลือกในวันนี้!”
เข้าทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วหันหลังกลับทันที นำพวกลูกน้องจากไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งสองฝ่ายไม่ถูกชะตากัน หลังจากทุกคนมองกันอย่างเย็นชา ก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน แล้วคนกลุ่มใหญ่ก็หายไปครึ่งหนึ่งในทันที
ในเวลาเดียวกัน ญาธิดาผู้ซึ่งฟังการเคลื่อนไหวภายนอกอยู่ในห้องพักผู้ป่วยโดยตลอดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอก็ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ภวินท์จะมาปรากฏตัว ยิ่งไม่คาดคิดว่าภูผาจะโกรธจนกลับไปได้ในที่สุด
แบบนี้ก็หมายความว่าเกล้าแก้วรอดแล้ว!
เมื่อคิดอย่างนี้ จึงก้มลงไปมองใต้เตียงทันที
เกล้าแก้วกำลังหดตัวเป็นก้อนกลม ซ่อนตัวอยู่ในนั้นไม่ขยับ ราวกับสัตว์ตัวน้อยที่หวาดกลัว นี่ทำให้ญาธิดารู้สึกปวดใจ
เธอค่อยๆ ยื่นมือออกไปพลางพูดเสียงอ่อนโยน “ภูผาไปแล้ว เธอออกมาได้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เกล้าแก้วพยักหน้า จับมือเธอแล้วมุดออกจากใต้เตียง
วินาทีถัดมา ประตูถูกผลักเปิด จากนั้นภวินท์นั่งรถเข็นเข้ามา ข้างหลังติดตามมาด้วยพยัคฆ์และพายุ
ญาธิดาสังเกตได้ว่าสายตาภวินท์กำลังมองมาที่เธอ ไม่รู้ทำไมแก้มค่อนข้างร้อน
ความจริงคำพูดที่ภวินท์พูดข้างนอกเมื่อครู่ เธออยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน รวมถึงที่เขาพูดว่าจะปกป้องเธอด้วย
มันอธิบายไม่ถูก ในใจเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนไม่จบสิ้น
ตอนนั้นเอง ภวินท์เป็นฝ่ายทำลายความอึดอัดขึ้นก่อน “เดี๋ยวผมจะส่งเธอออกไปโดยให้เธอซ่อนในกลุ่มบอดี้การ์ด”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วเหลือบมองเกล้าแก้ว
จากนั้นก็สั่งพยัคฆ์กับพายุที่อยู่ด้านข้าง สุดท้ายเขาก็หันหน้าไปมองญาธิดาและพูดว่า “เรารับประกันได้แค่ว่าเธอจะถูกส่งไปที่รถอย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องในอนาคตไม่มีทางรับประกันได้”
ญาธิดาพยักหน้า “พวกคุณช่วยเรามาถึงจุดนี้ได้ ฉันก็ซาบซึ้งมากแล้ว ขอบคุณนะคะ”
แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าภวินท์รู้เรื่องของเธอได้อย่างไร แต่โดยรวมแล้วการที่เขาพาคนจำนวนมากมาที่นี่ในช่วงเวลาฉุกเฉินก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขามีการเตรียมการล่วงหน้าไว้ อาจเพราะพยัคฆ์เป็นคนบอก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ได้ช่วยเหลือเธอไว้มาก
ภวินท์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เวลานี้ดึกแล้ว พวกคุณเก็บของแล้วออกมาโดยเร็วที่สุด ผมจะให้พยัคฆ์รออยู่ข้างนอก”
ญาธิดาพยักหน้า และมองพวกเขาออกจากห้อง หัวใจของเธอผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
เธอหันหน้าไปกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเกล้าแก้ว ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีของเธอ จึงชะงักไปก่อนจะถามว่า “เป็นอะไรไป”
เกล้าแก้วสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดอย่างสับสน “ฉัน…ไม่รู้ว่าควรเก็บเด็กคนนี้ไว้ดีไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ญาธิดาก็พูดไม่ออก
เพราะวันนั้นตอนที่เกล้าแก้วส่งข้อความถึงเธอ เธอบอกในข้อความอย่างชัดเจนว่าตัวเองไม่ต้องการเด็กคนนี้ ตอนนี้หนีออกมาแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีลูกคนนี้ตั้งแต่แรก ฉันไม่อยากมีภาระผูกพันใดๆ กับผู้ชายคนนั้น ตอนแรกคิดว่าจะทำแท้งที่โรงพยาบาล แต่…”
เกล้าแก้วพูดอย่างนั้นก่อนจะหยุด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก มองเธอพลางพูดเน้นทีละคำ “แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจไม่ได้ ใช่ไหม”
เกล้าแก้วสีหน้าลำบากใจ เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนี้ จึงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร
ญาธิดานิ่งไปก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ในฐานะคนที่เคยผ่านมาก่อนฉันขอแนะนำเธอว่าเรื่องการมีลูกต้องใช้ความรอบคอบ การตัดสินใจที่เธอทำก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เธอสงบไม่พอ ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ แล้วตัดสินใจว่าจะเก็บไว้หรือทำแท้ง ต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ”
ตอนแรกเธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรเก็บไว้หรือไม่ แต่ภายหลังเธอได้ตัดสินใจและให้กำเนิดทูตสวรรค์ตัวน้อยฝาแฝด แม้ว่าบางครั้งมันทั้งขมขื่นและเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เธอกลับรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่มีความสุข
เปรียบเสมือนคนดื่มน้ำ จะเย็นหรือร้อนล้วนรับรู้ด้วยตนเอง
เรื่องแบบนี้ ต้องตัดสินใจเองถึงจะได้
เกล้าแก้วฟังเธอพูดแล้วจมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดเสียงเบา “เธอพูดถูก ฉันควรสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจทีหลัง”
ญาธิดาพยักหน้าเบาๆ และพูดอย่างสบายๆ “โอเค ส่วนสิ่งที่ต้องจัดการในตอนนี้คือเธอไปอยู่ที่บ้านของฉันก่อน เพราะฉันไม่รู้ว่าควรจัดให้เธออยู่ที่ไหน รออีกสักพัก ให้สมองโล่งแล้วเธอค่อยคิดทบทวนอีกที”
“ได้” เกล้าแก้วมองเธออย่างขอบคุณ “ธิดา ขอบคุณเธอมากจริงๆ…”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ญาธิดามองเธออย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก้าวเท้าเดินออกไป