ดวงใจภวินท์ - บทที่ 642 สารภาพ
บทที่ 642 สารภาพ
เสียทีที่เธอพยายามแก้ตัวเพื่อเขา เสียทีที่เธอคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือและน่าพึ่งพาที่สุด แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าในท้ายที่สุดเขาจะเป็นคนที่ทรยศเธออย่างรุนแรงมากที่สุด!
นี่ถือเป็นการทำลายความไว้วางใจทั้งหมดในใจของคนคนหนึ่ง ทำให้จากนี้ไปเธอจะเชื่อใจใครง่ายๆ ไม่ได้อีก
“ธิดาครับ ในตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้…”
ธีทัตก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือออกมาตั้งใจจะรั้งแขนของเธอ แต่ญาธิดาสะบัดมือออก แล้วถอยหลังไปสองก้าวเพื่อรักษาระยะห่างจากเขา พร้อมกับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แต่เมื่อตะกี้คุณยังพูดโกหกฉัน…เรื่องของเกล้าแก้วก็เกี่ยวข้องกับคุณด้วยใช่ไหม”
ธีทัตนิ่งเงียบ เขาไม่อยากยอมรับ แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง และเขาไม่สามารถปิดบังไว้ได้อีกต่อไป แต่ถ้าเขายอมรับ เขาก็จะตกเป็นคนผิดทันที ทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ก็จะสูญเสียทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง
“ธิดาครับ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด แต่ที่ผมทำทั้งหมดนี้เพราะความห่วงใยที่ผมมีต่อคุณ… คุณก็รู้ดี ผมไม่เคยคิดทรยศคุณเลย!”
ญาธิดาเจ็บปวดหัวใจ ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันยอมให้คุณไม่ต้องห่วงใยฉันดีกว่า! เพราะฉันทำให้คุณต้องไปทำร้ายคนอื่น คุณคิดว่าแบบนี้ฉันจะนอนหลับอย่างสบายใจได้ยังไง”
เดิมทีเธอก็รู้สึกผิดกับเรื่องของเจ้าอาวาสมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ออกมา เธอยิ่งสั่นเทา ถ้าเป็นอย่างที่ธีทัตพูดจริง ๆ เธอก็จะกลายเป็นฆาตกรที่ทำให้เจ้าอาวาสเสียชีวิต
ความคิดแบบนี้เหมือนกลุ่มของวิญญาณที่กดเธอไว้ จนเธอไม่สามารถยืนตัวตรงได้เลย
“ธิดา…”
ธีทัตก้าวเดินตามเพื่ออยากจะอธิบาย แต่ญาธิดาได้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวดเสียใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “พวกเราแยกกันเถอะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ธีทัตหยุดฝีเท้าทันที เขามองเธอด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เหมือนไม่อยากเชื่อ “คุณ…พูดว่าอะไรนะครับ”
“แยกกันอยู่เถอะค่ะ”
ญาธิดาพูดซ้ำประโยคเดิม และยังไม่รอคำตอบจากเขา เธอก็หันหลังกลับ แล้วเดินไปที่ห้องเด็กอย่างรวดเร็ว
ธีทัตยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม และนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แต่รอจนเขาได้ยินเสียง แล้วเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าญาธิดาได้จูงมืออีธานกับเอลล่าเดินออกมาจากห้อง
พวกเธอเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นสอง ไม่นานหลังจากนั้น ญาธิดาก็ลากกระเป๋าเดินทางลงมาจากชั้นสอง อีธานกับเอลล่าเดินตามอยู่ด้านข้าง พร้อมกับสะพายกระเป๋านักเรียนอยู่บนหลัง ท่าทางเหมือนเตรียมจะออกจากบ้าน พวกเขาต่างก็ตาแดงก่ำ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร และเดินตามญาธิดาอย่างเชื่อฟัง
คนรับใช้ในบ้านเห็นแบบนี้ ก็พากันตกใจ รีบเข้ามาถาม “คุณผู้หญิงคะ นี่คุณผู้หญิงกำลังจะทำอะไรคะ”
ญาธิดาไม่ตอบอะไร เพียงแค่วางกุญแจลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จูงมืออีธานกับเอลล่าตรงไปที่ประตู
พอมองไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ธีทัตเริ่มรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ เขาจึงรีบไล่ตามไปทันที “ธิดา คุณคิดจะทำอะไร ตอนนี้มันดึกมากแล้วนะครับ!”
ญาธิดามองเขานิ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จากนี้ไป พวกเราตัดขาดกัน”
ในขณะที่เธอพูด มือข้างหนึ่งของเธอถือกระเป๋าเดินทาง แล้วมืออีกข้างหนึ่งจูงมือของอีธานกับเอลล่าไว้ เด็กน้อยทั้งสองคนหันกลับมามองเขาบ่อย งุนงงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ
ธีทัตก้าวไปข้างหน้า แล้วคว้ากระเป๋าเดินทางของเธอไว้ “ธิดาครับ เรามาคุยกันดีๆ อีกครั้งได้ไหม ให้โอกาสผมแก้ตัวสักครั้ง!”
ในใจญาธิดารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มเศร้า “ก่อนหน้านี้คุณมีโอกาสมากมายที่จะสารภาพกับฉัน แต่คุณกลับไม่เคยพูด และเพื่อที่จะหลอกฉัน คุณยังหาแพะรับบาปมารับผิดแทนคุณ ธีทัต คุณทำแบบนี้ คุณคิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม”
ในตอนนั้นเธอรู้สึกผิดมาก พยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาคนทรยศให้เจอ แต่คิดไม่ถึง ว่าเรื่องทุกอย่าง จะเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เขาวางแผนขึ้นมา ไปๆ มาๆ กลับไม่สามารถหนีไปจากแผนการของเขาได้ พูดไปแล้วน่าตลกสิ้นดี
ธีทัตพูดไม่ออก เขารู้ดีแก่ใจ ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของเขาจริงๆ ความผิดพลาดทั้งหมดเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบในเวลานั้น เพราะเขาห่วงใย เพราะความหึงหวง ถึงทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดแบบนั้น
ในตอนนี้ถ้าญาธิดายอมตกลงจะคุยกับเขาดีๆ เขาก็จะพยายามชดเชยความผิด แต่ตอนนี้เธอไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาคุยเลยด้วยซ้ำ
เขานิ่งเงียบ และมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาสับสน มือที่จับกระเป๋าเดินทางไว้ยังคงจับแน่นไม่ยอมปล่อย
“คุณปล่อยมือนะ!”
ญาธิดาพยายามดึงกระเป๋าเดินทางสองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ดึงกระเป๋าเดินทางออกมาไม่ได้ เธอกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะปล่อยมันไป แล้วจูงมืออีธานกับเอลล่าออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว พอเห็นหน้าของธีทัต เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าของเจ้าอาวาสขึ้นมาไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่ไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกจากก้นบึ้งของหัวใจ จนกลืนกินเธอ และทำให้เธอบ้าได้เลย
เธอรีบจูงมืออีธานกับเอลล่าออกไปให้เร็วที่สุด ตอนที่ออกจากประตูเธอก็บังเอิญเห็นรถแท็กซี่ขับมาจอดตรงหน้าแกรนด์ บูเลอวาร์ดพอดี และมีคนลงจากรถ เธอรีบเรียกคนขับไว้ทัน และรีบพาลูกๆ ขึ้นไปบนรถ
“จะไปที่ไหนครับ?”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างแน่น แล้วบอกที่อยู่กับคนขับรถ
ที่นั่นคือบ้านหลังเก่าที่ดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีเคยอาศัยอยู่ และตอนนี้มันเป็นที่เดียวที่เธอสามารถไปได้
ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศ แล้วมาอยู่ที่เมือง J ธีทัตอยู่ข้างกายเธอมาตลอด เรื่องทุกอย่างล้วนแต่เป็นเขาที่จัดการให้ แล้วบ้านที่แกรนด์ บูเลอวาร์ดก็เป็นบ้านของเขาด้วยเช่นกัน จะว่าไปแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย
โชคดีที่ยังมีบ้านเก่า ไม่อย่างนั้นเธอคงจะหมดหนทางถึงขั้นไม่มีแม้แต่ที่พักอาศัย
รถขับไปตามถนนสายหลัก และเคลื่อนที่อย่างสงบ ในเวลานี้ เด็กน้อยสองคนที่ตื่นกลัวก่อนหน้านี้ก็อาการดีขึ้น ทั้งสองคนนั่งเอนตัวญาธิดาอยู่ทั้งข้างซ้ายและขวา บรรยากาศในรถเงียบมาก
จนสุดท้าย อีธานก็เป็นพูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ มือเล็กอวบของเขาจับมือของญาธิดาไว้ แล้วถามเสียงอ่อน “คุณแม่ครับคุณแม่กับคุณพ่อเป็นอะไรกันครับ? ทะเลาะกันเหรอครับ”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะอ้าปากเตรียมจะพูด แต่ลำคอของเธอแหบแห้ง ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง
พวกเด็กๆ ยังไร้เดียงสา เห็นยังไงก็คิดว่าอย่างนั้น เธอไม่อยากถ่ายทอดอารมณ์และพฤติกรรมในด้านลบให้พวกเขาเห็น แต่ทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
ในเวลานี้เอง เอลล่าที่อยู่ข้างๆ ก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “คุณแม่คะ เราจะไปที่ไหนกันคะ?”
ญาธิดาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่จะพาพวกลูกกลับบ้านคุณตาคุณยายจ้ะ”
“แล้วเราจะกลับบ้านคุณพ่ออีกไหมครับ/คะ”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก “ไม่กลับไปแล้วจ้ะ”
“ทำไมล่ะครับ/คะ? พวกเราจะทิ้งคุณพ่อแล้วเหรอครับ?”
ญาธิดาพูดไม่ออก ในใจรู้สึกขมขื่นมาก เธอควรจะทำยังไงกับเรื่องพวกนี้ดี? ควรจะอธิบายให้พวกเขาฟังยังไงว่าธีทัตไม่ใช่พ่อของพวกเขา
ในตอนนั้นเธอโกหกลูกๆ ไป แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นพันธนาการ ทำให้เธอต้องลำบากและยุ่งยากมากขึ้นไปอีก
พูดตรงๆ ก็คือ มันเป็นผลกรรมที่เธอสร้างไว้
เธอนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วพูดออกมาว่า “เรื่องนี้ เดี๋ยวแม่จะบอกให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เราไปบ้านคุณตากับคุณยายกันก่อนนะจ๊ะ”
เด็กน้อยทั้งสองเหมือนจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่พอเห็นญาธิดาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาทั้งสองจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วเอนตัวเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ แล้วนิ่งเงียบไป
หลังจากผ่านไปครึ่งทาง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้านนอกก็มีแสงฟ้าผ่า ตามด้วยเสียง “เปรี้ยง” ของฟ้าร้อง ก่อนที่เม็ดฝนจะเริ่มตกลงมาจากท้องฟ้า
พวกเธอกำลังนั่งอยู่ในรถ โดยเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกับกระจกของรถอย่างรุนแรง ทำให้เด็กน้อยทั้งสองต้องสะดุ้งตกใจ
ฝนตกหนักมากโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และตอนที่พวกเธอมาถึงที่หมาย ฝนข้างนอกก็ตกหนักมาก เหมือนกับน้ำที่ถูกเทลงมา