ดวงใจภวินท์ - บทที่ 651 ต่างคนต่างอยู่..ไม่ต้องมายุ่งกัน
พอได้ยินชื่อนี้ ญาธิดาก็ตกตะลึงจนตัวแข็ง และความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วแพร่กระจายไปตามกระดูกทั่วร่างกายของเธอทันที
เธอหายใจเข้าลึก แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ก่อนจะมองไปที่ภวินท์แล้วพูดว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันคะ? ”
ภวินท์พูดโดยที่สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง “ตอนนี้เขากับภูผาร่วมเรือลำเดียวกันแล้ว และธีทัตกับภูผาก็ร่วมมือกัน คุณคิดว่าตอนนี้คุณกับธีทัตหย่ากันแล้ว ภูผาจะยอมปล่อยคุณไปหรือเปล่า? ”
คำพูดของเขาดูสมจริงและโหดร้ายมาก ทำให้เธออดที่จะรู้สึกเย็นยะเยือกในใจไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่พาลูกสองคนมาอยู่ข้างนอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ผลลัพธ์เธอไม่อยากจะคิดเลย
“คุณหมายความว่าฉันอยู่กับคุณจะปลอดภัยกว่าอย่างนั้นเหรอคะ? คุณภวินท์ คุณอย่าลืมนะคะ ว่าคุณเป็นศัตรูหลักของพวกเขา พวกเขากำลังจับจ้องเงินและอำนาจที่คุณถืออยู่ในมือ ดังนั้นฉันอยู่ให้ห่างจากคุณถึงจะปลอดภัยกว่า. . ”
ภวินท์มองหน้าเธอนิ่งแล้วพูดออกมาคำต่อคำ “คุณคิดผิดแล้ว คุณไม่มีทางคิดได้ว่าพวกเขาจะโจมตีมายังไง จะโจมตีที่ใคร ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ไม่มีทางที่ผมจะเพิกเฉยต่อคุณได้ พวกเขารู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นคุณต้องอยู่กับผมเท่านั้น”
น้ำเสียงของภวินท์ดูจริงจังมาก แต่ญาธิดายังคงจับจุดสำคัญในคำพูดของเขาได้ เธอหายใจเข้าลึก แล้วพูดออกมาว่า “คุณไม่จำเป็นต้องกังวลว่าฉันจะเป็นหรือจะตายก็ได้”
ภวินท์ตอบเสียงเรียบนิ่ง “ผมทำแบบนั้นไม่ได้”
เขาพูด สายตาของเขาเคร่งขรึม แววตาของเขาซับซ้อน รู้สึกอธิบายไม่ถูก
หัวใจของญาธิดาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แต่ใบหน้าของเธอเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เธอจึงพูดต่อ “ทำไมล่ะคะ”
ดวงตาของภวินท์ขยับไปมา แววตาดวงตาของเขาดูซับซ้อนแปลกๆ เขาเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะพูดเน้นคำออกมา “เพราะอะไรคุณยังไม่รู้อีกหรือไง”
พอมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม หัวใจของญาธิดาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ลำคอของเธออึดอัด เธอหลบสายตาเขาเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่สักพัก เธอก็เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แต่ถูกคำพูดของชายหนุ่มทำให้ชะงักไปทันที. .
“ญาธิดา ผมหวงชีวิตของตัวเองมาก ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อคนที่ไม่สำคัญ ดังนั้น ผมรู้สึกกับคุณยังไงคุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
หาได้ยากที่ภวินท์จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนี้ ญาธิดาได้ยินแบบนี้ หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง แรงจูงใจที่ไม่ทราบสาเหตุก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ
ในเวลานี้ บรรยากาศดูน่าอึดอัดเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า “คุณกำลังสารภาพรักอยู่หรือไงคะ? คำพูดหยอกเอินที่ไม่น่าเชื่อใจแบบนี้ ฉันไม่ยอมรับหรอกนะคะ”
พอพูดจบ เธอก็รีบเปิดประตู แล้วเดินออกไปทันที
พอเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวที่รีบออกไปอย่างรวดเร็ว ภวินท์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เรื่องราวมาจนถึงตอนนี้แล้ว เธอยังทำเป็นไม่รู้เรื่องกับเขาอีก แต่ไม่เป็นไร เขาไม่รีบร้อน ขอแค่รั้งเธอไว้กับเขาได้ ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องขอคำตอบจากเธอได้แน่นอน
พอเขาได้สติกลับมา เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดดู นอกจากข้อความเกี่ยวกับงานที่ส่งมาจากบริษัทแล้ว ยังมีข้อความที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นพิเศษ
“ผลการตรวจออกมาแล้ว ดีเอ็นเอของเด็กทั้งสองคนกับตัวอย่างเลือด A มีความคล้ายเคียงสูงถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ดีเอ็นเอของเด็กทั้งสองคนกับตัวอย่างเลือด B บ่งบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกัน”
มือของเขาที่ถือโทรศัพท์ค่อยๆ กระชับแน่นขึ้น และเลือดในร่างกายของเขาก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที
ตัวอย่างเลือด A คืออีเอ็นเอของเขา ส่วนตัวอย่างเลือด B คือของธีทัต
นั่นก็แสดงว่าอีธานกับเอลล่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับธีทัต เลยแม้แต่น้อย!
ในตอนนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัยฐานะที่แท้จริงของอีธานกับเอลล่า แต่ตั้งแต่วันนั้นที่เขายืนรอผลตรวจดีเอ็นเอหน้าห้องตรวจของโรงพยาบาล เขาก็ตัดความสงสัยทั้งหมดของเขาทิ้งไปจนหมด
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าครั้งนั้นจะถูกคนวางแผนหลอก ผลตรวจที่เขาเห็นครั้งแรกเป็นของปลอม! ที่แท้เขาก็ถูกหลอกมานานถึงขนาดนี้!
จู่ๆ ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา เขาอยากจะรีบออกไปจับญาธิดามาถามให้ชัดเจน ว่าทำไมถึงปิดบังความจริงกับเขา ทำไมถึงให้ลูกของเขาเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หัวใจของเขาร้อนเป็นไฟ แต่ในเวลานี้ เขารู้ดี ถ้าเขาออกไปถามความจริงจะได้ผลที่ตรงกันข้าม เขาจะไม่ทำเรื่องโง่แบบนั้นเด็ดขาด
ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
จะตีงู ต้องตีที่จุดอ่อนของงู ต้องจับหัวโจกให้ได้ก่อน ขอแค่ทำให้เด็กๆ ยอมรับเขาเป็นพ่อ ถึงตอนนั้นต่อให้ญาธิดาจะไม่ยอม เธอก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
พอคิดได้แบบนี้ ภวินท์ก็ยกยิ้มมุมปาก ความไม่พอใจที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไปในทันที
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เดินออกจากห้องมา แต่ใครจะรู้ว่าจะได้เห็นญาธิดาโดยบังเอิญ ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรอยู่ในใจ จึงเดินวนไปวนมาที่ระเบียง เหมือนลูกข่าง
ภวินท์เดินไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบขวดน้ำเย็นออกมาจิบดื่ม แล้วเดินไปที่ระเบียง เขายืนพิงประตู และมองเธอด้วยรอยยิ้ม
ญาธิดาเห็นเขา หลังจากลังเลอยู่สักพัก เธอก็เดินเข้าไปหาเขา แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ฉันคิดไว้แล้ว ฉันจะฟังที่คุณพูด อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน”
ภวินท์ยกยิ้ม “ในที่สุดก็คิดได้สักที”
“แต่ว่า เราต้องตกลงกันก่อน” ญาธิดามองเขาอย่างระมัดระวัง แล้วพูดอย่างมีเหตุผลว่า “เราสองคนต้องรักษาระยะห่างต่อกัน ต่างคนต่างอยู่..ไม่ต้องมายุ่งกัน!”
ภวินท์เม้มปากและตอบตกลง “ไม่มีปัญหา”
ในหนังสือนิทานก็เขียนไว้แล้วไม่ใช่เหรอ หมาป่าเจ้าเล่ห์มักจะใช้กลอุบายบางอย่าง โดยทำการหลอกล่อกระต่ายขาวตัวน้อยขึ้นเรือก่อนแล้วค่อยจ้ดการทีหลัง
ในเวลานี้ ญาธิดาไม่รู้หรอกว่าภวินท์กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอเอาแต่คิดถึงของใช้ในประจำวันที่เก็บไว้กล่อง ของส่วนใหญ่เป็นของใช้ของลูกๆ เธอจัดเก็บเรียบร้อยก่อนไปทำเรื่องหย่า แล้วฝากเก็บไว้ชั่วคราวที่สำนักงานของแกรนด์ บูเลอวาร์ด ตอนนี้มั่นใจที่อยู่ในตอนนี้แล้ว เธอต้องหาวิธีขนของพวกนั้นมาที่นี่ให้ได้ซะก่อน
เธอหันกลับมาถามอย่างลังเลว่า “เอ่อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องออกไปขนของ คุณให้ฉันยืมตัวพยัคฆ์ก่อนได้ไหมคะ”
ภวินท์ไม่คัดค้าน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จากนี้ไปคุณใช้งานพยัคฆ์ได้ตามต้องการ”
ญาธิดารู้สึกอุ่นใจ “ทางที่ดีคุณควรบอกเขาไว้ก่อนค่ะ”
ภวินท์พยักหน้าเข้าใจ และท่าทางเขาดูจะอารมณ์ดีมาก ก่อนจะเดินไปที่ห้องเด็ก ทันทีที่เขาไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงของเด็ก ๆ ข้างในห้อง ในขณะที่เขาผลักประตูเปิดออก ญาธิดาเห็นสภาพข้างในห้อง ก็ตกตะลึงไปทันที
พยัคฆ์นั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าสีขาวถูกปากกาดำวาดเขียนจนลายไปทั้งหน้า เอลล่ายืนอยู่ข้างหลังเขา กำลังมัดผมเขาเป็นเปียเล็กๆ ในมือของอีธานจับปากกาวาดเขียนแขนของเขาอยู่
พอเห็นพวกเขา แววตาของพยัคฆ์เป็นประกายอย่างดีใจ แต่เขาไม่กล้าที่จะขยับตัว ยังทำตัวเป็นหุ่นอย่างสมบูรณ์
พอเห็นฉากนี้ ญาธิดาก็หลุดหัวเราะออกมา
ภวินท์เองก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
พยัคฆ์รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปหาเขา “คุณภวินท์ครับ ช่วย…”
ยังพูดไม่ทันจบ อีธานก็ลุกขึ้นยืน แล้วแตะศีรษะของพยัคฆ์เบา ๆ พร้อมกับพูดเตือนว่า “อย่าขยับสิครับ”
พอเห็นพยัคฆ์พยักหน้า เขาก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งไปหาญาธิดา แล้วกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ “คุณแม่ครับ ในที่สุดคุณแม่ก็ตื่นสักที!”
ในเวลานี้เอง เอลล่าก็วิ่งเข้ามากอดขาของญาธิดาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงออดอ้อนว่า “คุณแม่ หนูคิดถึงคุณแม่มากเลยค่ะ”
หัวใจของญาธิดาก็โอนอ่อนลงทันที เธออดที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กน้อยทั้งสองไม่ได้ “แล้วตอนที่แม่นอนหลับไป พวกลูกเป็นเด็กดีหรือเปล่า”
เด็กน้อยทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน “พวกเราเป็นเด็กดีครับ/ค่ะ!”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ อีธานก็มองมาที่ภวินท์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “แต่คุณอาสุดหล่อไม่ดี! ตอนที่คุณแม่นอนหลับอยู่ เขาพยายามแอบจูบคุณแม่ครับ!”