ดวงใจภวินท์ - บทที่ 652 ความรู้สึกของบ้าน
ในขณะที่เขาพูดออกมา ภวินท์ก็น้ำแข็งติดคอ จนเกือบจะสำลักทันที เขาหันมามอง และสบตาเข้ากับแววตาสงสัยของญาธิดา เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธอยังไง
พอเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา ญาธิดาก็ครึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อ แล้วหันไปหาเอลล่าก่อนจะถามว่า “จริงหรือเปล่าลูก?”
เอลล่ายกยิ้มเขินอาย “ตอนนั้นคุณแม่กำลังฝันร้ายค่ะ คุณอาสุดหล่อนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ บางทีอาจเป็นเพราะคุณแม่สวยมากๆ คุณอาสุดหล่อก็เลยอดใจไม่ไหวค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ ภวินท์ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา เด็กน้อยสองคนนี้พูดแบบนี้ต่อหน้าญาธิดา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะดึงเขาลงน้ำด้วย!
พอเห็นดวงตาที่เย็นชาของญาธิดา เขาก็พยายามอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น…”
แต่ใครจะรู้ว่าญาธิดาจะหันหลังกลับ ไม่ยอมฟังสิ่งที่เขาพูด เธอมองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคน แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “พวกลูกอย่าเลียนแบบเขานะจ๊ะ ทำแบบนี้เป็นพฤติกรรมของคนลามก!”
พอเอลล่าได้ยินแบบนั้น เธอก็หัวเราะออกมา ส่วนอีธานก็มองมาที่เขาด้วยสายตาสะใจ แล้วทำสีหน้าราวกับกำลังดูเรื่องสนุกอยู่
ภวินท์รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาด้านชา นี่แค่เริ่มต้น เขาก็ถูกเธอสวมข้อหาคนลามกต่อหน้าเด็กๆ ความน่านับถือของเขาถูกทำลายลงอย่างย่อยยับเลย
พอเห็นหญิงสาวเดินไปพร้อมกับลูกสองคน ภวินท์ก็ทั้งโมโหทั้งอยากหัวเราะ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ และพอเธอหันหลังกลับมาก็พบว่าพยัคฆ์กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีใบหน้าของพยัคฆ์ก็ถูกวาดจนลาย และถักเปียผม ท่าทางแบบนี้ก็แปลกพอแล้ว แต่ตอนนี้ยังมองเขาด้วยท่าทางแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ แล้วเอ่ยสั่งเสียงเข้ม “นายยิ้มอะไร? ”
พยัคฆ์เกาศีรษะอย่างเขินอาย แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่รู้สึกว่าพวกคุณต่อปากต่อคำกันเล่นแบบนี้ ดูมีความสุข และสนุกสนานมาก”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ หัวใจของภวินท์ก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยได้รับความรู้สึกมีความสุขแบบครอบครัวมาก่อน การแต่งงานที่ล้มเหลวของพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเขา แต่ตอนนี้ การต่อปากต่อคำในชีวิตประจำวันแบบนี้ กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว
เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วมองไปทางพยัคฆ์ แล้วรู้สึกสบายตามากขึ้น เขายกยิ้ม ก่อนจะเหลือบมองผมของเขา แล้วหัวเราะออกมา “ทรงผมนี้ดีมาก เหมาะกับนายดี”
เขาพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วเดินออกจากห้องไป
พยัคฆ์ตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดกล้องดูสภาพตัวเองทันที พอเขาเห็นสภาพตัวเองบนหน้าจอเขาก็ต้องตกใจทันที
เขาคิดในใจ เมื่อตะกี้คุณภวินท์พูดล้อเล่นกับเขาใช่ไหม?
เขามองตัวเองในกล้องอีกครั้ง และยิ่งมั่นใจมากขึ้น ว่าเขาถูกพูดล้อเล่นจริงๆ!
ในคอนโดแห่งนี้มีคนเพิ่มเข้ามาสามคน ทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา พวกเขามีต่อปากต่อคำกันบ้าง ทำให้ที่นี่เพิ่มสีสันและความสุขขึ้นมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น พยัคฆ์มาถึงหน้าประตูคอนโดตรงเวลา แล้วพาญาธิดาไปของของใช้
พอพวกเขาออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงภวินท์กับอีธานและเอลล่าที่ถูกทิ้งไว้ในคอนโด
ภวินท์คิดในใจ นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการเจรจากับเจ้าตัวเล็กทั้งสอง เขาจะพลาดโอกาสนี้ไปได้ยังไง
พอคิดได้แบบนี้ เขาก็เดินไปที่ประตูห้องนอนของอีธานกับเอลล่า ก่อนจะยกมือขึ้นมาเคาะประตู พร้อมกับมองไปทางอีธานกับเอลล่าที่กำลังอ่านหนังสือและเล่นกับของเล่นอยู่ข้างใน เขาจึงเดินไปข้างหน้าเพื่อร่วมเล่นด้วย
เขาเหลือบมองหนังสือที่อีธานถืออยู่ในมือ มันเป็นหนังสือภาพแนววิทยาศาสตร์ยอดนิยมด้านดาราศาสตร์ จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แล้วถามว่า “พวกหนูอยากไปท้องฟ้าจำลองไหม”
อีธานเอ่ยพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ผมเคยไปที่ท้องฟ้าจำลองของเมือง J มาหลายครั้งแล้วครับ”
ภวินท์ถูกคำพูดของอีธานทำให้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองทางเอลล่าแล้วถามว่า “เอลล่า หนูอยากออกไปเล่นหรือเปล่า? เดี๋ยวคุณอาสุดหล่อจะพาหนูไปเอง!”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเอลล่าก็เปร่งประกายขึ้นมา และเธอก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่ในวินาทีต่อมา เธอสังเกตเห็นว่าอีธานกำลังจ้องมองมาที่เธอนิ่ง เธอจึงเงียบไปเล็กน้อย เธอก้มหน้าลง และเธอก็ส่ายหน้าออกไป
อีธานพูดเสริมในเวลาที่เหมาะสม “คุณแม่บอกไว้ ให้พวกเรารออยู่ที่นี่ดีๆ ห้ามออกไปข้างนอกกับคนอื่นเด็ดขาด!”
พอได้ยินแบบนี้ ปากของภวินท์ก็กระตุก
ต้องเข้าใจ ว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ ของอีธานกับเอลล่า แต่พูดออกจากปากของญาธิดาผู้หญิงคนนี้กลับกลายเป็น “คนอื่น” ไปได้!
ภวินท์โกรธจนตัวพอง แต่อยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทั้งสอง เขาทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา
เขานั่งอยู่ข้างพวกเขาครึ่งชั่วโมง ทั้งบีบบังคับทั้งเกลี้ยกล่อม แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
ในตอนท้าย ภวินท์จึงจับหน้าผากของเขาด้วยความปวดหัวเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้อง ก่อนจะเดินไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นพยายามคิดหาวิธี อีกทั้งยังหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาเสิร์ชหาข้อมูล
เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ การเกลี้ยกล่อมเด็กนั้นยากกว่าการเจรจาธุรกิจเสียอีก ในสมัยก่อนเขาไม่นอนสามวันก็สามารถเจรจาได้ห้าโครงการ แต่ตอนนี้ล่ะ ต่อหน้าเด็กหกขวบสองคน เขากลับถูกแกล้งได้แบบนี้ จะว่าไปแล้ว มันน่าขายหน้ามาก
แต่สุดท้าย เรื่องที่จะให้ลูกชายลูกสาวกลับเข้าตระกูลเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า พอคิดได้แบบนี้ เขาก็เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ ที่มีข้อความของหลุยส์ส่งมาให้เขา
ไม่มีอะไรมากแค่หยอกล้อเรื่องที่เขาหายตัวไปช่วงนี้ ซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อมาก เขาขี้เกียจที่จะตอบกลับข้อความ
ในขณะที่เขากำลังจะวางโทรศัพท์ จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบกดโทรหาให้หลุยส์ทันที
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงหยอกล้อของหลุยส์ก็ดังขึ้นมาตามสาย “เฮ้ ฉันก็นึกว่าใคร? ในที่สุดก็ยอมติดต่อกลับมาสักทีนะ”
พอได้ยินน้ำเสียงที่หยอกล้อของหลุยส์ ภวินท์ก็ขมวดคิ้ว และพูดเข้าประเด็น “หยุดพูดเรื่องไร้สาระก่อน ฉันมีเรื่องจะถาม”
ทันทีที่หลุยส์ได้ยินเขาพูดแบบนั้น น้ำเสียงของเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”
ภวินท์ขยับริมฝีปาก แต่ในตอนที่อ้าปากเตรียมจะพูด ริมฝีปากของเขาก็เหมือนติดกาวไว้ เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก “นาย…นายรู้วิธีเกลี้ยกล่อมเด็กไหม”
พอหลุยส์ได้ยินแบบนั้น ก็หัวเราะออกมา “นี่มันอะไรกันครับ ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณภวินท์ของเราลำบากใจได้ขนาดนี้้? ”
“นายไม่รู้ก็ช่างเถอะ”
พอพูดจบ ภวินท์ก็เตรียมจะกดวางสาย
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ!” หลุยส์รีบหยุดเขาไว้ก่อน “ฉันมีประสบการณ์ในการเกลี้ยกล่อมเด็ก! นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนดูแลลูกๆ ของป้าฉันเลยนะ?”
ภวินท์เม้มปาก “งั้นก็เล่าประสบการณ์ของนายมา”
หลุยส์พูดอย่างจริงจัง “จะเกลี้ยกล่อมเด็กไม่ยาก ตามใจพวกเขาก็พอแล้ว ง่ายๆ แค่นี้เอง”
ภวินท์เข้าใจเรื่องนี้ดี แต่อีธานเป็นเด็กที่ฉลาดมาก เงื่อนไขที่เขาเสนอนั้นอีกฝ่ายไม่สนใจเลย
ภวินท์ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะบอกรายละเอียดให้หลุยส์ฟัง
หลังจากที่เขาพูดจบ ทางฝั่งหลุยส์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ถ้าเขาไม่สนใจก็แสดง
ว่าข้อต่อรองของนายยังไม่เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสนใจ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะหาวิธีซื้อกล้องโทรทรรศน์ส่องดาวมา แล้วพาเขาไปดูท้องฟ้าในตอนกลางคืน แบบนั้นไม่ดีกว่าดูจากหนังสือหรือไง?”
ทันใดนั้นเอง ภวินท์ก็คิดได้ ก่อนจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา “เป็นวิธีที่ดีมาก!”
หลุยส์ยกยิ้มก่อนจะพูดต่อ “เอลล่าเป็นแฟนคลับตัวน้อยของนาย ขอแค่นายทำให้อีธานยอมรับนายได้ ทุกอย่างก็ราบรื่น!”
ภวินท์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วพูดกับหลุยส์ “ไว้ฉันจะเลี้ยงเหล้านายวันหลัง”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็รีบกดวางสาย แล้วสั่งให้คนของเขาเตรียมกล้องโทรทรรศน์ส่องดาวมาให้เร็วที่สุด!
แผนการนี้จะได้ผลหรือไม่ เราจะได้เห็นในวันนี้