ดวงใจภวินท์ - บทที่ 653 เป็นพ่อของพวกเขา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา คนของภวินท์ก็ส่งกล้องดูดาวรุ่นคุณภาพสูงมาที่บ้าน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มสอนวิธีใช้งานให้กับเขา
การใช้เครื่องมือที่คุณภาพสูงนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่ภวินท์มีความจำที่ยอดเยี่ยม และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็ว ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่าเขาก็เรียนรู้วิธีการใช้งานพื้นฐานเรียบร้อย
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จ รอจนลูกน้องและเจ้าหน้าที่จากไป ภวินท์ก็พาอีธานกับเอลล่าไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน จากนั้นเขาก็เดินไปที่ระเบียง แล้วดึงผ้าคลุมสีดำที่คลุมกล้องส่องดาวออก
ตรงระเบียงมีเครื่องมือสีดำตั้งอยู่จึงเห็นชัดมาก พอมองผ่านระเบียงกระจกใส นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็สามารถเห็นได้ชัดเจน
ในเวลานี้ อีธานกับเอลล่ากำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาพอดี แค่พวกเขาเหลือบมองที่ระเบียงข้างๆ พวกเขาก็สามารถเห็นมันได้ทันที
ไม่ช้า อีธานก็เห็นภวินท์ยืนอยู่ตรงระเบียงกำลังปรับ “เพื่อนใหม่” เครื่องนี้ เขาก็รีบกระโดดลงจากโซฟา แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ระเบียง ก่อนจะมองไปที่เครื่องนั้น และดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความดีใจ
เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วถามอย่างสงสัย “นี่คือกล้องดูดาวใช่ไหมครับ”
ภวินท์ไม่ได้หันไปมองเขา แต่ใช้ผ้าเช็ดกล้องดูดาว แล้วตอบกลับแค่อืมเบาๆ
“มันจะเห็นดาวไหมครับ”
“คุณใช้งานมันเป็นไหมครับ”
“…”
ในเวลานี้ คำพูดของอีธานก็เพิ่มมากขึ้น เขาก็เอ่ยถามพร้อมกับเดินวนรอบตัวภวินท์กับกล้องดูดาว ภวินท์ไม่ได้ทำท่าทางเป็นกันเอง แต่กลับเย็นชา พูดน้อย และตอบกลับอย่างผู้เชี่ยวชาญ
พอพูดแบบนี้ ก็เอาใจอีธานจนชอบใจ สุดท้าย เขาก็เดินไปข้างภวินท์ แล้วเงยหน้าขึ้นถามอย่างออดอ้อนว่า “คุณอาสุดหล่อครับ ตอนกลางคืนเรามาดูดาวบนท้องฟ้าด้วยกัน ได้ไหมครับ?”
พอได้ยินน้ำเสียงของเด็กน้อยแฝงไปด้วยความเคารพและรอคอย ภวินท์ก็ดีใจจนยกยิ้มออกมา แต่ต่อหน้าเด็กน้อย เขายังคงทำท่าทีนิ่งสงบและเย็นชา “ถ้ามีเวลาอาจะพาดูดาวนะ”
เด็กน้อยดีใจจนกระโดดขึ้นสูง “เย้!”
เพราะเรื่องกล้องดูดาวที่แสนวิเศษ ตลอดช่วงบ่าย อีธานจึงพยายามชวนภวินท์คุยอย่างกระตือรือร้น และเขาก็มีท่าทางเชื่อฟังมากกว่าเมื่อก่อน
ตอนบ่าย หลังจากญาธิดากลับมาจากข้างนอก ทันทีที่เปิดประตู ก็เห็นฉากที่ทั้งสามคนนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาด้วยกัน
ภวินท์กำลังนั่งอยู่ตรงกลาง โดยมีอีธานกับเอลล่านั่งอยู่ทั้งสองข้าง แล้วนั่งพิงภวินท์ด้วยท่าทางสนิทสนม
พอเห็นฉากนี้ ญาธิดาก็ตกใจมากจนแว่นตาของเธอแทบตกพื้น เมื่อวานพวกเขายังทะเลาะกันและโต้เถียงกันอยู่เลย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะนั่งอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งทำให้เธอตกใจมากจริงๆ
ภวินท์มีพลังเวทมนตร์จริงๆ หรือไง?
ญาธิดารู้สึกประหลาดใจ แต่พอเห็นกล้องดูดาวที่ระเบียง เธอก็เข้าใจทันที
อีธานเป็นเด็กที่คลั่งไคล้ดาราศาสตร์มาก เขาอยากสัมผัสกล้องดูดาวมานานแล้ว จู่ๆ ภวินท์ก็ซื้อกล้องดูดาวมาไว้ที่บ้าน อีธานต้องดีใจเป็นธรรมดา
พริบตาเดียว ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ อีธานก็ขอให้ภวินท์พาเขาไปดูดาว
ภวินท์รู้สึกดีใจมาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะแสดงทักษะของเขาสักที เขาจึงพาอีธานกับเอลล่าไปที่ระเบียง และใช้ความรู้ทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้มาหนึ่งชั่วโมงออกมา
หนึ่งคืนผ่านไป ภวินท์ก็ได้แฟนคลับตัวน้อยเพิ่มมาอีกคน
จนกระทั่งญาธิดาเรียกให้เด็กน้อยทั้งสองกลับไปที่ห้อง พวกเขาถึงยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หลังจากผ่านไปสักพัก ที่ระเบียงจึงเหลือเพียงเขากับญาธิดา เธอมองดูกล้องส่องดาวที่ระเบียง แล้วเลิกคิ้วถาม “คิดไม่ถึงเลยนะคะ ว่าคุณภวินท์จะยอมทุ่มทุรได้มากถึงขนาดนี้”
ภวินท์ยกยิ้มมุมปาก “แน่นอน”
ญาธิดามองเขาอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่พูดอะไร แต่หันหลังเดินออกจากระเบียงไป
ในใจภวินท์ไม่ยอมแพ้ ท่าทางตอบสนองของเธอทำให้เขายิ่งไม่เขาเดินตามเธอไปจนทัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นว่า “ยังไงในอนาคตก็เป็นลูกของผม ไม่ช้าก็เร็วต้องเตรียมพร้อมไว้”
เดิมทีญาธิดาไม่อยากใส่ใจ แต่พอได้ยินคำพูดของเขา เธอก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาด้วยความตกใจ “คุณ… คุณพูดว่าอะไรนะ? ”
“ไม่ช้าก็เร็วต้องเตรียมพร้อมไว้?”
ญาธิดาส่ายหน้า “ไม่ใช่ ประโยคก่อนหน้า”
ภวินท์เลิกคิ้ว แล้วพูดซ้ำ “ยังไงในอนาคตก็เป็นลูกของผม”
ดวงตาของญาธิดาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “พูด… พูดบ้าอะไรของคุณ!”
ภวินท์ยกยิ้มอารมณ์ดี “รับหน้าที่เป็นพ่อของพวกเขา ข้อเรียกร้องนี้ไม่มากเกินไปใช่ไหม?”
ใบหน้าของญาธิดาบึ้งตึง เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “อย่าแม้แต่จะคิด”
“อย่างนั้นเหรอ? ”
ภวินท์ไม่รีบร้อน เขาโยนคำถามกลับ ก่อนจะขยิบตาให้เธอ แล้วเดินจากไป ทิ้งให้เธอยืนงงอยู่กับที่
คิดไม่ถึงเลย ว่าภวินท์อยากจะเป็นพ่อของอีธานกับเอลล่า ถ้าเขาพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าเขาอยากจะเป็นสามีของเธอ!
พอรู้จุดมุ่งหมายของภวินท์ ญาธิดาเองยังตกใจ
เธอจะยอมให้ภวินท์ทำสำเร็จเด็ดขาด!
กลางดึก ภวินท์นอนอยู่บนเตียง แต่กลับพลิกตัวไปมา ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ
สิ่งที่เขาพูดกับญาธิดาในวันนั้น ว่าสิงโตปรากฏตัวที่เมืองJ ไม่ใช่คิดจะทำให้เธอตกใจ แต่เป็นเรื่องจริง
ปรากฏการณ์แบบนี้ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน เขาต้องรู้ให้ได้ ว่าสิงโตกับภูผากำลังวางแผนการใหญ่อะไรอยู่กันแน่!
ในเวลานี้เอง มีสายฟ้าแลบพุ่งทะลุท้องฟ้า และวินาทีต่อมา เสียงฟ้าร้องเปรี้ยง มันน่ากลัวมาก เสียงซู่ซ่าด้านนอก คือเสียงฝนที่กำลังตกแรง
สายฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาต่อเนื่องทำให้ภวินท์ยิ่งนอนไม่หลับ ภวินท์ขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง มองดูฝนที่กำลังตกอยู่ข้างนอก แล้วขมวดคิ้วแน่น
ดูท่าแล้ว ฝนคงจะยังไม่หยุดง่ายๆ ภวินท์รู้สึกกังวลใจขึ้นมา เขารู้ว่าญาธิดากลัวเสียงฟ้าร้องในตอนกลางคืนมาก
ในใจยิ่งรู้สึกกังวลใจ ภวินท์รีบก้าวเดินออกไปทันที เดินออกจากห้อง ตรงไปที่ประตูห้องนอนของญาธิดา เขาหยุดฟังเสียงภายในห้อง
ภายในห้องเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ยิ่งเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เขาค่อย ๆ เปิดประตูเพื่อดูว่าญาธิดานอนหลับไปแล้วหรือเปล่า
แต่ใครจะรู้ว่าพอประตูถูกผลักเข้าไป เขาก็เห็นญาธิดานั่งอยู่บนเตียง ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา เหมือนถูกเสียงฟ้าร้องทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ก่อนจะเดินไปข้างหน้าทันที
พอเห็นเขา ใบหน้าของญาธิดาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา แล้วเอ่ยถามออกมาทันที “คุณมาทำอะไรที่นี่ กลางดึกแบบนี้?”
ภวินท์พูดด้วยเสียงทุ้ม “ผมมาเพราะรู้ว่าคุณกลัวเสียงฟ้าร้อง”
ญาธิดาชำเลืองมองเขา จากนั้นก็รีบหันไปดูที่เตียงเด็ก อีธานกับเอลล่ากำลังนอนหลับสนิทอยู่ เธอหันกลับมามองภวินท์ “ฉัน…ฉันไม่กลัวแล้ว คุณกลับออกไปได้แล้วค่ะ”
ภวินท์เลิกคิ้วอย่างสงสัย “จริงเหรอ? ”
ญาธิดากำลังจะพยักหน้าให้ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็มีสายฟ้าแลบนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ทำให้เธอตัวสั่นและกอดภวินท์ไว้โดยไม่รู้ตัว
ภวินท์คิดไม่ถึงว่าญาธิดาจะเกิดตนเองกะทันหันแบบนี้ เขายกยิ้มมุมปาก และมองลงมาที่เธอ ก่อนที่เสียงฟ้าร้องครั้งต่อไป เขาก็ยกยิ้มแล้วถามว่า “คุณยังอยากให้ผมออกไปไหม”