ดวงใจภวินท์ - บทที่ 657เขาป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
บทที่ 657เขาป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
เห็นได้ชัดว่าภวินท์เองก็คิดไม่ถึงว่าปกรณ์จะกลายเป็นแบบนี้ แววตาของเขาเคร่งขรึม และเอ่ยพูดออกมา “พ่อ”
ดวงตาของปกรณ์มองมา แล้วเห็นเขากำลังนั่งอยู่บนรถเข็น สองขาผิดปกติ จึงขมวดคิ้วแล้วถาม “ขาของลูก…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ภวินท์ไม่ได้ตอบคำถามของเขาโดยตรง “เรามาพูดถึงเรื่องของคุณก่อน ในช่วงที่ผ่านมาคุณไปอยู่ที่ไหนมา?”
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของปกรณ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดว่า “พ่อป่วย เข้ารับการรักษาได้ระยะหนึ่งแล้ว”
ภวินท์ขมวดคิ้ว “ป่วยเป็นอะไรไปครับ?”
“มะเร็งในกระเพาะอาหาร”
คำนี้เหมือนฟ้าผ่าลงมา ทำให้หูของภวินท์อื้ออึงไปหมด เขารู้สึกสมองของเขาเหมือนจะระเบิด ไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้
พอเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร ปกรณ์ก็พูดเสริมขึ้นมา “อยู่ในระดับสองแล้ว อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นช่วงนี้จึงอยู่ในขั้นตอนการรักษา จึงไม่มีโอกาสได้กลับประเทศ จนช่วงก่อนหน้านี้ คุณหมอยอมให้พ่อกลับมาได้ ตาภูผาก็เลยส่งคนไปรับพ่อกลับมา”
ภวินท์มองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึม “ทำไมคุณถึงไม่ติดต่อกลับมาเลย?”
“เพราะคุณหมอบอกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีผลเสียต่อโรคของพ่อ พ่อก็เลยฝากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดกับคุณหมอตั้งแต่เริ่มเข้ารับการรักษา ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ไม่ได้แตะต้องมันอีกเลย”
พอได้ยินแบบนี้ ภวินท์ก็อดที่จะยิ้มเยาะขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่เคยได้ยินว่ามีคนป่วยหนักถึงขนาดจับมือถือไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าคำพูดของหมอจะเป็นสิ่งที่ภูผาสั่งให้พูดหรือเปล่า?
ในเวลานี้ เขาจึงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับมะเร็งกระเพาะอาหารของปกรณ์ขึ้นมา เขาคิดได้แบบนี้ จึงกวักมือเรียกพยัคฆ์เข้ามา แล้วกระซิบสั่ง “ไปเรียกหมอมา แล้วเจาะเลือดส่งไปตรวจ”
พยัคฆ์พยักหน้ารับ แล้วหันกลับไปเตรียมการทันที
พอภวินท์หันกลับมาอีกครั้ง เขาถึงได้รู้ว่าปกรณ์กำลังจ้องมองที่ขาของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
ภวินท์เอ่ยถามออกมา “มีอะไรเหรอครับ?”
สีหน้าของปกรณ์ดูจริงจังมากขึ้น “ขาของลูกทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
หลังจากลังเลอยู่สักพัก ภวินท์ก็พูดออกมา “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ก็เลยได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ในช่วงพักฟื้น”
หลังจากที่ปกรณ์ได้ยินแบบนี้ สีหน้าที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง ในใจรู้สึกโล่งใจ “หายเป็นปกติได้ก็ดีแล้ว หายเป็นปกติก็ดี …”
ภวินท์มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงแม้จะไม่สามารถหายเป็นปกติได้ ก็ไม่เป็นไร”
สีหน้าของปกรณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่… ทำไมลูกถึงพูดอย่างนั้น!”
“คุณไม่รู้เหรอ? ว่าขาของภูผาหายดีแล้ว และเขาสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว”
“อะไรนะ?” ปกรณ์มีสีหน้าตกตะลึงมาก “ขาของเขาหายดีแล้ว?”
ภวินท์ยิ้มเยาะ “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้บอกอะไรคุณเลยนะครับ”
“เขาส่งลูกน้องพาพ่อกลับมา และพ่อก็ยังไม่ได้เจอเขาเลย…” ปกรณ์พูด แววตาของเขาผิดหวังและเสียดายเล็กน้อย “เฮ้อ! เด็กคนนี้!”
อาจเป็นเพราะกำลังป่วย สภาพในตอนนี้ของปกรณ์จึงไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แม้แต่อารมณ์ที่เคยแข็งกร้าวก็อ่อนลงมาก ประกอบกับผมที่ขาวไปแล้วครึ่งหัว ทำให้ดูเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง. .
“ตาวิน ลูกนัดให้พ่อกับตาภูผาเจอกันสักครั้งได้ไหม ตอนนี้เขา…”
ดวงตาของภวินท์เคร่งขรึม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “เขาน่าจะกำลังยุ่ง ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
สีหน้าของปกรณ์ฉายแววดีใจขึ้นมาเล็กน้อย “ได้… ได้!”
พอเห็นปกรณ์มีท่าทางแบบนี้ ภวินท์ก็ขมวดคิ้ว เขารีบคิดหาเหตุผล และออกจากห้องไป หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่ามีบางอย่างกดทับมันไว้
อาการของปกรณ์มากดูผิดปกติ ถึงแม้จะป่วยเหมือนกับที่เขาพูดจริงๆ แต่ก็ไม่ควรอยู่ในสภาพแบบนี้
เขาสูดหายใจเข้าลึก และหยุดอยู่หน้าประตูด้วยความรู้สึกที่ผสมกันไปหมด เขามองดูคุณหมอเดินเข้าไปในห้อง และรอให้คุณหมอออกจากห้อง
หลังจากออกมา คุณหมอประจำตระกูลก็พูดว่า “คุณภวินท์ครับ อาการของคุณปกรณ์นั้น จำเป็นต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลของเราเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถึงจะยืนยันได้ ทางเราจะนัดเวลาอีกที แล้วให้คุณหมอมาตรวจนะครับ”
ภวินท์พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร
หลังจากออกจากที่พักในฝั่งตะวันตก ภวินท์ก็นิ่งเงียบมาตลอดทาง
พยัคฆ์มองกระจกมองหลัง แล้วพยายามหาหัวข้อที่จะพูดคุย แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นสีหน้าที่เย็นชาของภวินท์ เขาก็ต้องกลืนคำที่พูดกลับไปอีกครั้ง
ดังนั้น ภายในรถจึงตกอยู่ในสภาพหนาวเหน็บจนมาถึงคอนโด
พอกลับถึงบ้าน ภวินท์ก็ตรงไปที่ห้องนอนของเขาทันที ญาธิดาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงรีบถามสาเหตุจากพยัคฆ์ “เขา… เป็นอะไรไป?”
พยัคฆ์ไม่รู้จะพูดยังไงดี จึงได้แต่กระซิบบอกว่า “คุณภวินท์อารมณ์ไม่ค่อยดีครับ…”
ทันใดนั้นเอง หัวใจของญาธิดาก็กังวลขึ้นมา เธออดที่จะถามต่อไปไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
พยัคฆ์ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเล่าออกมา “…เราตามหาคุณปกรณ์เจอแล้วครับ เขากำลังป่วย ดูเหมือนอาการจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
พอได้ยินแบบนี้ ญาธิดาก็นิ่งเงียบไป
เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันไปมองตรงประตูที่ปิดอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย
ตอนที่เธอรู้ว่าดร.ยติภัทรป่วย เธอก็ทุกข์ใจ และกังวลกังวลใจมาก ตอนนี้ภวินท์ก็คงเป็นเหมือนกัน ถึงแม้เขากับพ่อของเขาจะไม่ได้สนิทกัน แต่พวกเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกัน
ญาธิดาเหลือบดูเวลา เธอก็ได้สติกลับมา เธอหันไปมองพยัคฆ์ และเอ่ยถามเบาๆ “วันนี้ไม่มีกำหนดการอื่นแล้วใช่ไหมคะ”
พยัคฆ์พยักหน้า
ญาธิดายกยิ้มปลอบใจเขาแล้วพูดว่า “งั้นนายก็กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
พยัคฆ์ยังคงกังวลใจเล็กน้อย “ได้ครับ พี่ธิดา ช่วยดูแลคุณภวินท์ด้วยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้มานานแล้ว…”
ญาธิดาพยักหน้าเข้าใจ “ไม่ต้องห่วงค่ะ!”
หลังจากส่งพยัคฆ์ออกไปแล้ว เธอก็หันหลังกลับ พร้อมกับปิดประตู ก่อนจะชงชาหนึ่งแก้ว แล้วยืนลังเลใจอยู่หน้าประตูห้อง เธอเคาะประตูห้องนอนของภวินท์ และพูดว่า “ฉันเข้าไปนะคะ”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากข้างใน เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป
ภวินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เหมือนกำลังพลิกอ่านอะไรอยู่ และไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก แล้วเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะวางถ้วยชาไว้ที่โต๊ะ เธอเอ่ยพูดอย่างลังเลว่า “อาหารกลางวันวันนี้คุณอยากกินอะไรคะ”
พอได้ยินเธอพูดอย่างนั้น มือของชายหนุ่มก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองมาที่เธอ “ทำไม คุณจะทำอาหารให้ผมทานเหรอ”
ญาธิดาพยักหน้า แล้วพูดอย่างเป็นกันเองว่า “บอกมาได้เลยค่ะ ถ้าคุณอยากกินอะไร ตอนฉันทำอาหารให้อีธานกับเอลล่า ฉันจะได้รวดทำให้คุณด้วยเลย”
“รวดทำให้ด้วย?”
พอได้ยินแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
ญาธิดาท่าทางอึกอัก “ใช่สิ เดิมทีฉันนึกว่าคุณจะไม่กลับมา ก็เลยทำอาหารเฉพาะพวกเราสามคน”
“อย่างนั้นเหรอ?” ภวินท์วางเอกสารในมือลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ถ้าอย่างนั้นผมไม่กินก็ได้”
ญาธิดาคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ในใจรู้สึกไม่พอใจ จึงส่งเสียงฮึดฮัด “ไม่กิน…ไม่กินก็ช่างเถอะ!”
พอเธอพูดจบ ก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป แต่ตอนที่เธอจะก้าวไป ก็มีใครบางคนจับมือเธอไว้ก่อน