ดวงใจภวินท์ - บทที่ 672 นิวราก็หนีไปแล้ว
เฮลิคอปเตอร์จากไปอย่างรวดเร็ว แต่ญาธิดายังคงรู้สึกถึงเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูจนไม่สามารถเรียกคืนสติของตัวเองได้
“ญาธิดา!”
ภวินท์ลุกขึ้นรถเข็นเดินไปหาเธอ เรียกชื่อเธอหลายต่อหลายครั้งกว่าเธอจะรู้สึกตัว
แต่ไม่รู้ทำไม พอเธอผ่อนคลายลงแล้วแขนขากลับอ่อนแรง จู่ ๆ ร่างกายก็เอนเอียงเหมือนจะล้มพับไป
ภวินท์ก้าวเข้าไปหาและพยุงร่างของเธอเข้ามากอดไว้แน่น พลางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างกังวลใจ “ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว”
หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป ญาธิดาก็หมดแรง ร่างกายทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ เธอไม่สนใจร่างกายของตัวเองแต่กลับเอื้อมมือไปจับข้อมือของภวินท์ไว้แล้วพูดว่า “ภูผาหนีไปแล้ว พวกเราจะทำยังไงดี!”
ปีศาจตัวนั้นหนีไปอีกแล้ว และเมื่อเขาซ่อนตัวในความมืดถึงอยากจะจัดการเขาก็จะคงยากยิ่งกว่าเดิม
เกมในวันนี้ไม่มีใครชนะ
ภูผาคิดว่าตัวเองจะชนะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าญาธิดาจะร่วมมือกับภวินท์ ซึ่งพวกเขาเองก็คิดว่าสุดท้ายตัวเองจะชนะ แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจนได้
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของญาธิดา ภวินท์ก็แอบกังวล เขาแตะไหล่ของญาธิดาเบา ๆ แล้วพูดว่า “ฉันจะจับเขาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องกังวลนะ”
แม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย แต่ญาธิดาก็พยักหน้า
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าอึกทึกครึกโครมก็ดังมาจากประตูทางเข้าดาดฟ้า ก่อนที่หลุยส์จะรีบวิ่งออกมาพร้อมกับกำลังคน
เมื่อเขาเห็นญาธิดาทรุดอยู่กับพื้นก็รีบเอ่ยปากถามทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น บาดเจ็บเหรอ?”
“เปล่า” ภวินท์ขมวดคิ้ว ประคองญาธิดาไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ภูผาหนีไปแล้ว นั่งเฮลิคอปเตอร์หนีไป”
“แม่งเอ้ย!”
หลุยส์สบถคำด่าออกมาอย่างโมโห พลางยกเท้าขึ้นถีบกำแพงข้าง ๆ “ไอ้บ้าเอ้ย! พากลุ่มคนเข้ามาก่อความวุ่นวายข้างล่าง ที่แท้ก็มีเป้าหมายอื่น!”
ภวินท์เงียบไป เขาหรี่ตาลงมองใบหน้าซีดขาวของญาธิดา ก่อนโอบเอวแล้วอุ้มเธอขึ้นและเดินออกไป
เขาเพิ่งจะเดินออกไปได้แค่สองก้าวเสียงของหลุยส์ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังว่า “เดี๋ยวก่อน!”
“วิน แกจะอุ้มเธอออกไปแบบนี้ไม่ได้นะ!”
ภวินท์ขมวดคิ้ว “ทำไม”
ผู้หญิงของเขา เขาจะอุ้มออกไปแล้วใครจะทำไม? อีกอย่างญาธิดาแขนขาอ่อนแรงแบบนี้คงเดินไม่ไหวแน่ ๆ
“ไม่ใช่ แกไม่เข้าใจความหมายของฉัน!” เมื่อเห็นว่าเขาตีความความหมายผิดจึงรีบอธิบาย “เรื่องขานายยังไม่ได้ประกาศให้คนภายนอกรู้ ถ้าอุ้มเธอออกไปแบบนี้ คนทั้งบริษัทก็คงจะรู้กันหมด คนในบริษัทรู้ก็เท่ากับคนทั้งเมือง J รู้ ยังจับไอ้บ้านั่นไม่ได้ ถ้ามันรู้ว่าแกขาหายดีแล้ว มันจะไม่ยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิมเหรอ?”
คำพูดของเขาเตือนสติของภวินท์ทันที
ถ้าวันนี้จับภูผาได้ก็คงดี แต่ดันปล่อยให้เขาหนีไปซะได้ ต่อจากนี้ไปเขาจะเล่นไม่ไหนอีกก็ยังไม่รู้ แล้วแบบนี้จะเผยไต๋แบไพ่ในมือให้อีกฝ่ายรู้ทั้งหมดได้ยังไงล่ะ?
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ครู่หนึ่ง เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย ญาธิดาเหลือบมองและพูดว่า “ฉัน…เดินได้”
เธอแค่รู้สึกเหมือนเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ร้ายครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปขนาดนั้น
ภวินท์ลังเลเล็กน้อยก่อนจะวางเธอลง
หลุยส์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แอบโล่งใจ และรีบเตือนเขาทันทีว่า “อ้อ เมื่อกี้มีคนรายงานว่าข้างล่างมีรถตำรวจจอดอยู่ คิดว่าคงจะเป็นจรณ์เป็นคนจัดการ คิดว่าคงต้องไปสถานีตำรวจสักหน่อยแล้วล่ะ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว หลักฐานที่จะเอาผิดภูผาที่แกรวบรวมไว้ถึงเวลาส่งส่งให้ตำรวจแล้วล่ะ”
ภวินท์เงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ถึงเวลาแล้ว”
ทีแรกเขาคิดว่าวันนี้จะได้ร่วมมือกับตำรวจพาตัวภูผาไปขัง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะหนีรอดไปได้ แต่ตอนนี้เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว หลักฐานเอาผิดพวกนั้นก็ถึงเวลาต้องแสดงตัวแล้ว
จู่ๆ เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบหันกลับไปมองครามที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่ไกล แล้วกำชับกับหลุยส์ว่า “ไอ้ครามนั่นจับมันไปด้วย เขาน่าจะรู้เรื่องอะไรมากไม่น้อย”
ขณะที่พูดเขาก็กวาดสายตามองไปอีกทางหนึ่ง แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาคนอยู่ตรงนั้นแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัวได้สติขึ้นมาทันที
ทีแรกนิวรานอนอยู่ตรงนั้น เธอหายไปได้ยังไง?
ญาธิดาก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน เลยอดถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “นิวรา…หายไปไหนแล้ว?”
เธอหนีไปด้วยเหรอ? แต่ตอนที่ภูผาหนีไปเขาไม่ได้พาหล่อนไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นภูผาไม่มีเหตุผลที่จะต้องพาหล่อนไปด้วยเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้นมีเพียงคำตอบเดียวที่พุ่งเข้ามาในหัวของเธอ คำตอบที่ญาธิดาแค่คิดก็เนื้อตัวแข็งทื่อ แผ่นหลังเย็นยะเยือก
คำตอบเดียวที่สามารถอธิบายได้คือหล่อนหนีไปแล้ว! ถือโอกาสตอนนี้โกลาหลวุ่นวายเมื่อครู่นี้ แอบหนีออกไปอย่างเงียบ ๆ
การที่จับเธอไม่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เช่นกัน
ภวินท์กับหลุยส์มองตากัน เพียงไม่นานหลุยส์ก็เป็นคนพูดขึ้นว่า “เอางี้ เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปตรวจสอบกล่องวงจรปิด หล่อนตัวคนเดียวคงหนีไปได้ไม่ไกล น่าจะจับเอาไว้ได้”
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น โดยไม่พูดอะไร เขาหันไปมองญาธิดาแล้วพูดเบา ๆ ว่า “วันนี้พวกเราต้องไปลงบันทึกที่สถานีตำรวจ ไม่ต้องนะ ฉันอยู่ด้วย”
เดิมทีแค่มีเขาอยู่ข้าง ๆ ญาธิดาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว และยิ่งได้ยินคำมั่นสัญญาหนักแน่นของเขาแบบนี้แล้วเธอก็ยิ่งมั่นใจ
พอคิดได้แบบนี้ริมฝีปากของเธอก็กระตุกยิ้มแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉันรู้”
ไม่รู้ว่าเธอกับภวินท์ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นเพราะมิตรภาพที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน บางทีก็อาจจะเป็นความเข้าใจกัน สรุปคือแม้ว่าได้ประสบพบเจอเรื่องพวกนี้ แต่เธอกลับรู้สึกอิ่มใจและมั่นคงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ทำเอาหลุยส์ที่อยู่ข้าง ๆ ทนดูต่อไปไม่ไหว และรีบขัดจังหวะทั้งสองคนขึ้นมาทันที “เอาเหอะ ๆ จับพวกคนร้ายได้แล้วค่อยว่ากัน พวกนายจะแสดงความรักกันก็ช่วยเลือกเวลาดูสถานการณ์หน่อยจะได้ไหม?”
พูดจบเขาก็แสร้งทำเป็นกลอกตาใส่อย่างไม่พอใจ
ญาธิดาเห็นแบบนั้นก็อดขำไม่ได้
บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย ทุกคนต่างมองหน้ากัน ความรู้สึกภายในใจสงบลงมาก
เพียงไม่นานคงบนดาดฟ้าก็ทยอยแยกย้ายกันออกไป ภวินท์กลับไปนั่งรถเข็น และลงลิฟต์ไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อลงมาถึงหน้าบริษัทพวกเขาก็ออกไปพร้อมกับรถตำรวจ
หลังจากขึ้นรถ ภวินท์ถึงค่อย ๆ สงบลง เขาหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะหันไปถามพายุที่อยู่ข้าง ๆ “ทีมตรวจสอบไปหรือยัง?”
พายุรายงานตามจริง “ไปแล้วครับ ผู้อาวุโสแจ้งว่าไม่พบอะไร”
คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันแน่นค่อย ๆ คลายลง เขาพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรสักคำ
นับตั้งแต่เข้ามารับช่วงต่อSTN Group เขาก็เข้มงวดกับบริษัทมาก เขาไม่อนุญาตให้ใครเอาของผิดกฎหมายหรือของสกปรกเข้ามาในบริษัท น้ำสกปรกของภูผาที่เขาเตรียมการไว้ในครั้งนี้ก็ไม่สามารถทำลายพวกเขาลงได้
แต่เรื่องในวันนี้ย่อมมีผลกระทบอย่างแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ภายในของบริษัท แค่รถตำรวจที่จอดอยู่หน้าบริษัทก็เพียงพอจะทำให้ใครหลายคนคิดไปไหนต่อไหนแล้ว
หลายวันนี้คงหนีไม่พ้นข่าวลือหนาหู