ดวงใจภวินท์ - บทที่ 678 ไปช่วยอีธานกับเอลล่า
บทที่ 678 ไปช่วยอีธานกับเอลล่า
ญาธิดาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก
ภวินท์เฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอด เมื่อเห็นเธอฟื้นขึ้นมา คิ้วที่แต่เดิมขมวดแน่นค่อยๆ คลายตัวลง จากนั้นกล่าวอย่างช้าๆ “ฟื้นแล้วเหรอ”
ญาธิดามองดูเพดาน สมองเบลอ ว่างเปล่า จำอะไรไม่ได้เลย สักพักเธอถึงได้ค่อยๆ จำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะเป็นลมหมดสติไป ฉับพลันหัวใจเกิดความตระหนกขึ้น
“อีธานกับเอลล่า……”
เธอยังไม่ทันได้กล่าวจบ น้ำตาของเธอก็ไหลร่วงลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ราวกับลูกปัดที่ด้ายขาด
สีหน้าของภวินท์เปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวอย่างช้าๆ “ภูผาส่งข่าวมาแล้ว……”
ญาธิดากัดฟัน “เขาบอกว่าอะไร”
ภวินท์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะด้านข้าง เปิดอะไรบางอย่างออก แล้วยื่นให้กับเธอ
สิ่งนั้นคือข้อความจากโทรศัพท์ “ถ้ายังอยากเจอเด็กน้อยสองคนนั่น พรุ่งนี้บ่ายโมงครึ่ง พาญาธิดามาที่โรงงานอิเล็กทรอนิกส์X หมายเลขสามที่ถนนX ห้ามแจ้งตำรวจ ห้ามพาคนอื่นมาด้วย มิเช่นนั้นจะฆ่าให้หมด!”
ญาธิดากำโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว เธอกดัดฟันแน่น ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ภูผาต้องการล่อให้พวกเขาไปยังสถานที่ไกลๆ เช่นนั้นโดยลำพัง จะต้องมีเแผนการอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขามีอีธานและเอลล่าอยู่ในกำมือ ต่อให้พวกเขาไม่อยากไป ก็จำเป็นต้องไป!
เธอไม่มีทางพลาดทุกโอกาสที่จะสามารถช่วยอีธานกับเอลล่าอย่างแน่นอน! มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมา เรื่องนี้จะย้อนคืนกลับไปได้! ในฐานะที่เธอเป็นแม่ เดิมทีปล่อยให้พวกเขาหายตัวไป ก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดมหันต์แล้ว ตอนนี้ถ้ายังไม่สามารถไปช่วยพวกเขากลับมาอีก เธอจะมีชีวิตอยู่ไปได้อย่างไร
ภวินท์เห็นสีหน้าที่ผิดปกติของญาธิดา จึงรีบยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง วางไว้บนไหล่ของเธอ แล้วกล่าวปลอบใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ฉันจะพาคนไปที่นั่น และจะต้องพาตัวอีธานกับเอลล่ากลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
“แล้ว…แล้วฉันล่ะ”
ภวินท์กล่าวออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด “อันตรายเกินไป คุณไปไม่ได้”
เงียบไปเพียงครู่หนึ่ง ญาธิดาจึงส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ ภูผาไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ ในข้อความของเขาได้ระบุอย่างชัดเจนว่าให้พวกเราไปกันทั้งสองคน หากว่าฉันไม่ไป เขาฆ่าลูกแล้วจะทำอย่างไร”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
อันที่จริง เขาได้คิดเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เธอจะฟื้นตื่นขึ้นมา
แต่ถ้าพาญาธิดาไปด้วย เขาไม่วางใจ ไม่พาญาธิดาไปด้วย ก็กลัวภูผาจะทำอะไรไม่ดี ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เวลานี้ ญาธิดาเอ่ยปากขึ้น “ฉันต้องไป! ด้วยนิสัยของเขา จะต้องส่งคนมาสอดแนมพวกเราอย่างแน่นอน ถ้ามีอะไรผิดสังเกตขึ้นมา เขาอาจจะลงมืออย่างผลีผลามได้…”
ภวินท์ขมวดคิ้ว “แต่ถ้าพวกเราไปกันสองคน ไม่มีความหวังแม้แต่น้อยว่าจะชนะเลย”
ญาธิดากล่าวทันที “พวกเราไปกันสองคน เพื่อหลอกให้เขาตายใจเท่านั้น ขณะเดียวกันทางฝั่งนี้คุณจะต้องเตรียมการให้พร้อมทุกอย่าง สบโอกาสก็ให้ลงมือ เพียงแต่ต้องทำแบบลับๆ เท่านั้น
ได้ยินดังนั้น ภวินท์จึงพยักหน้า มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วกล่าวออกมาทีละคำ “ได้ อย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้ พวกเราไปด้วยกัน แต่ว่าเมื่อถึงที่นั่น ทุกอย่างจะต้องเชื่อฟังผม”
หากเกิดสถานการณ์คับขันขึ้นจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปกป้องเธอให้ปลอดภัย
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาหัวใจบีบรัดแน่น แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ฉันจะเชื่อฟังคุณ”
เห็นได้ชัดว่าพรุ่งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด ตั้งแต่เหตุการณ์บนดาดฟ้าครั้งก่อน เกรงว่าครั้งนี้ ภูผาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น และก็จะยิ่งเหี้ยมโหดมากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
แม้ว่าหัวใจจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ญาธิดายังคงฝืนตัวเองให้นอนหลับ ทานข้าว พยายามผ่านทุกช่วงนาทีที่ผ่านไปอย่างยากลำบาก
ช่วงเวลาเช่นนี้ เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้เวลาเที่ยง พายุจึงได้ซื้ออาหารที่แตกต่างกันสองสามอย่างมา เพื่อให้พวกเขาสามารถทานได้เยอะๆ หน่อย แต่ว่าภวินท์นั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับการโทรศัพท์เพื่อสั่งการ ส่วนญาธิดาก็ไม่อยากอาหาร ทานไปเพียงสองคำก็วางตะเกียบลง
พายุลังเล จากนั้นกล่าวเกลี้ยกล่อม “ทานอีกสักหน่อยเถอะครับ การต่อสู้ที่ดุเดือดในตอนบ่ายยังรอพวกเราอยู่ ทานน้อยเก่อนไปเมื่อถึงเวลานั้นจะสู้ไม่ไหวได้นะครับ”
ได้ยินดังนั้น สายตาของญาธิดาก็กวาดมองไปยังอาหารบนโต๊ะ เมื่อนึกถึงอีธานกับเอลล่าอาจจะกำลังหิวอยู่ แม้แต่น้ำก็อาจไม่ตกถึงท้อง หัวใจของเธอจึงก็ผุดความเจ็บปวดขึ้น และก็ยิ่งทำให้ไม่มีความอยากอาหาร
เธอส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นนึกอะไรขึ้นได้ และเปลี่ยนหัวข้อเรื่องในการสนทนา “พยัคฆ์เป็นไงบ้าง”
ตอนที่พยัคฆ์ถูกช่วยเหลือขึ้นจากแม่น้ำนั้น ก็หายใจรวยรินแล้ว จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเพื่อยื้อชีวิต จึงยังไม่มีข้อมูลใดๆ
พายุชะงักครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ “ยังคงนอนสลบอยู่ครับ คุณหมอบอกไม่รับประกันว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาตอนไหน”
คำพูดประโยคนี้ ราวกับก้อนหินที่ไม่หนักไม่เบาทับอยู่ในทรวงอกของญาธิดา
จะว่าไปแล้ว พยัคฆ์กับต้องล้วนเป็นคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ว่าภูผาจะเหี้ยมโหดได้เพียงนี้ กำหนดชีวิตของพวกเขา!
ขณะที่ครุ่นคิด ก้นบึ้งหัวใจของญาธิดาเย็นเยือก เวลานี้ ภวินท์วางสายโทรศัพท์ลงแล้วได้เดินเข้ามา จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “ได้เตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว”
เมื่อคำพูดของเขาจบลง ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับงานในมือ รอเวลาแต่ละวินาทีเดินผ่านไป
เพิ่งจะผ่านตอนเที่ยงมาหยกๆ พวกเขาก็วางแผนที่จะออกเดินทางแล้ว
เพื่อมุ่งหน้าไปที่โรงงานอิเล็กทรอนิกส์X สถานที่รกร้างตามที่ภูผาบอก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว
ก่อนออกเดินทาง จู่ๆ ภวินท์ก็ดึงตัวญาธิดา หยิบเสื้อกั๊กสีดำออกมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ใส่นี่ไว้”
ญาธิดามองดูเสื้อกั๊กตัวนั้น ในใจก็เข้าใจทันที “เสื้อกันกระสุนเหรอ”
ภวินท์พยักหน้า เม้มปาก “เผื่อไว้”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเสื้อกั๊กนั้นมา หันหลังเดินไปเปลี่ยน เสื้อกั๊กนั้นเป็นเสื้อรัดรูป สามารถป้องกันช่วงอกและช่วงท้องได้อย่างดี ใส่ไว้ด้านในเสื้อผ้า ดูไม่ออกเลยสักนิด
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอถึงค่อยออกมา จากนั้นก็ตามภวินท์ขึ้นรถไป มุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทาง
รถเพิ่งจะสตาร์ทเครื่อง ญาธิดาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง ก้มหน้ามองคู่ขาของภวินท์ที่ใช้ขับรถ จึงกล่าวอย่างลังเล “แล้วเรื่องที่ขาของคุณฟื้นคืนกลับมาปกติ……”
ภวินท์กล่าวเบาๆ “ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว”
ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาได้รับข้อความจากภูผานั้น เขาก็รู้แล้ว ที่ภูผาให้พวกเขาสองคนไปกันลำพัง เห็นได้ชัดว่าได้รู้แล้วขาของเขานั้นกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่พูดอะไรอีก
สักพัก ด้านในรถก็เงียบสงัดลง ราวกับอากาศควบแน่นก็ไม่ปาน ยิ่งเข้าสู่เขตชานเมืองมากเท่าไร สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยิ่งเปล่าเปลี่ยวและเงียบสงัดมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้สองวันที่ผ่านมาท้องฟ้าอึมครึม เห็นแล้วทำให้จิตใจของคนก็รู้สึกหน่วงๆ หดหู่สุดๆ
หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็ใกล้เข้าจุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่เห็นป้ายบอกทางที่ชัดเจนเลย
ภวินท์กวาดมองไปรอบๆ จากนั้นเอ่ยปากกล่าว “เปิดดูจีพีเอสสิ โรงงานอิเล็กทรอนิกส์X น่าจะอยู่บริเวณแถวนี้
ญาธิดาพยักหน้า แล้วสไลด์โทรศัพท์ทันที
บริเวณนี้เป็นที่รกร้าง มีอาคารกระจัดกระจายอยู่สองข้างทางซึ่งมีลักษณะเหมือนเป็นโรงงาน
ญาธิดาดูจีพีเอส สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “ยังมีอีกสักช่วงระยะทาง ต้องเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกไปสักช่วงหนึ่ง ก็จะถึง”
ภวินท์ขมวดคิ้ว สายตาชำเลืองมองไปทางหน้าจอ ก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร หมุนพวงมาลัยไปทิศทางหนึ่ง จากนั้นตัวรถก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็กๆ
ถนนเส้นเล็กกว้างยาวออกไป ทิศทางที่มุ่งไปสู่ดูเหมือนจะยิ่งเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ