ดวงใจภวินท์ - บทที่ 683 จับมือพวกเขาไว้จะไม่ปล่อยมืออีก (ภาค1 ตอนจบ)
ความห่วงหาและอาทรปะทุขึ้นในใจ ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟัน ค่อยๆ ใช้แขนประคองร่างของตัวเองลุกขึ้นนั่ง แล้วลงจากเตียงอย่างช้าๆ มุ่งเดินไปยังเตียงผู้ป่วยข้างๆ
ทุกอย่างเสมือนจริงมาก ญาธิดาเข้าใกล้เขา ยื่นมือไปแตะแก้มของเขาเบาๆ การสัมผัสก็เป็นเสมือนจริงมาก
เห็นบาดแผลที่ถูกพันไว้บนหน้าผาก กับมุมปากที่เขียวฟกช้ำ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ฟุบลงบนเตียงของเขา ยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปแตะที่ปลายจมูกของเขา ปลายนิ้วมือของเธอสัมผัสถึงลมหายใจที่อบอุ่น
ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอดึงมือกลับ ความกังวลยังคงปกคลุมหัวใจ อิงศีรษะซบลงไปที่ทรวงอกของเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขา
“ตึกตัก!” “ตึกตัก!” ใจเต้นแรงมีพลัง ความเร็วสมดุล ขณะที่ญาธิดากำลังฟังหัวใจอยู่นั้น ได้ยื่นมือมาจับมือของเขาเบาๆ ยิ่งรู้สึกสบายใจมากขึ้น แต่น้ำตากลับไหลออกมาจากหางตา
เธอตั้งตารอคอยช่วงเวลานี้ มันไม่ง่ายเลย
“แค่กๆ!”
ทันใดนั้น เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากเหนือศีรษะ ญาธิดารีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นภวินท์นั้นลืมตาขึ้นมาแล้ว มองเธอที่ทั้งน่าโกรธทั้งน่าขำ “ฉันคิดว่าถูกผีอำเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ”
ขณะที่พูด มีรอยยิ้มปรากฏที่ใต้ดวงตาของเขาอย่างมีเลศนัย “คิดถึงผมขนาดนี้เหรอ”
ญาธิดาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พึมพำกับตัวเอง “ที่แท้……นี่ไม่ใช่ความฝัน”
เป็นเรื่องจริง เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แขนขาอยู่ครบ มีสติรู้สึกตัว
แต่ว่าเมื่อนึกถึงซากปรักหักพังที่ถูกระเบิดเหล่านั้น เธอยังคงรู้สึกหดหู่และใจสั่น
เวลานั้น เธอคิดว่าเขาไม่อยู่แล้วเสียอีก! ความหวังสูญสลาย เจ็บปวดสุดขีด! แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีการพลิกผัน จะมีฟ้าหลังฝน……
จมูกคัดขึ้น เธอยกมือขึ้นแล้วทุบลงที่ไหล่ของเขาด้วยกำปั้น “ทั้งๆ ที่คุณไม่เป็นอะไร ทำไมถึงไม่กลับมาหาฉันโดยเร็ว! ฉันตกใจจน……”
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ น้ำตาก็ไหลพรากลงมา
ภวินท์โดนหมัดนี้เข้าไปเต็มๆ เจ็บจนถึงกับกระแอมไอ แต่ใต้ดวงตากลับอ่อนโยน ยื่นมือออกมาโอบเธอ แล้วกอดไว้แน่น
“เธอเข้าไปฉันผิดแล้ว ทำไมฉันมจะไม่อยากกลับมาเธอเร็วๆ ล่ะ……”
ขณะพูด ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตาหม่นลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็แผ่วเบาและทุ้ม “ตอนที่ฉันออกมาจากโรงงาน ด้านในก็เกิดการระเบิดแล้ว ตอนนั้นฉันถูกแรงระเบิดจนทำให้สลบ เมื่อตื่นขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าตัวเองนอกจากผิวหนังถลอกนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อไปถึงที่หน้าประตูใหญ่ ปรากฏว่าก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว……”
เขายกมือขึ้น ฝ่ามือที่ละมุนลูบลงที่ศีรษะของเธอ น้ำเสียงอ่อนโยน “ทำให้เธอเป็นห่วงแล้ว ขอโทษ……”
ญาธิดาเกิดอาการใจอ่อน ผุดความอบอุ่นขึ้นมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กอดภวินท์ไว้แน่น แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่โทษคุณ……”
เขาสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ สำหรับเธอแล้วเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว นอกเหนือจากนี้ เธอก็ไม่ต้องการขออะไรอีก
กอดเขาไว้เงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง สัมผัสความอบอุ่นบนตัวของเขาที่แผ่ซ่านมา หัวใจยิ่งรู้สึกสงบ ญาธิดาค่อยๆ ดึงสติกลับมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวถามเบาๆ ““ภูผาเขา……”
เห็นได้ชัดว่าร่างของภวินท์ได้แข็งทื่อเล็กน้อย “ตายแล้ว”
เห็นอย่างได้ชัดว่าเป็นคำตอบที่เป็นไปตามคาด แต่ทำไมญาธิดากลับผุดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ขึ้นในใจ
ไม่รอให้เธอเค้นถาม ภวินท์ก็เอ่ยปากกล่าวต่อ “ชีวิตของฉันนี้ เกล้าแก้วเป็นคนให้แก่ฉัน เป็นเธอที่ช่วยเหลือฉันไว้ ฉันถึงได้หนีออกมาได้”
ฟังภวินท์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคร่าวๆ ญาธิดาก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้น ยากที่ดึงกลับมา
ที่แท้ หลังจากที่ภวินท์เข้าไปในโรงงานแล้ว ก็เห็นภูผากับลูกแฝด จึงถูกภูผาข่มขู่ว่าให้ใช้ชีวิตของเขาแลกกับชีวิตของลูกแฝด
ทั้งคู่เจรจา เผชิญหน้า ในที่สุดก็เกิดการปะทะ ลูกน้องของภูผาตายไปหลายคน ส่วนภวินท์เองก็ได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันภูผาได้กำชับลูกน้องคนอื่นๆ ให้พาลูกแฝดไป ตัวเองจะสู้เดี่ยวต่อเดี่ยวกับภวินท์เอง
ชายหนุ่มทั้งสองคน ต่างออกแรงเต็มที่เพื่อเด็ดชีวิตของอีกฝ่าย สุดท้าย เพราะบนตัวของภวินท์ได้รับบาดเจ็บ เผชิญหน้ากับการไล่ล่าและต่อยตีของภูผา เขาย่อมพ่ายแพ้โดยปริยาย ในช่วงเวลาที่บนตัวของเขาโชกไปด้วยเลือด ถูกภูผาต่อยตีเจียนตายนั้น จู่ๆ เกล้าแก้วก็กระโจนเข้ามา ภายใต้การไม่ทันตั้งตัวของภูผา ใช้กริชที่แหลมคนกแทงเข้าไปที่หน้าอกซ้ายของเขา
ก่อนที่ภูผาจะหมดสติ เขาได้กดปุ่มระเบิดเวลาที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และสาบานว่าต่อให้ตายก็จะลากเขาตายไปด้วย เป็นเกล้าแก้วที่บอกเขาว่าลูกแฝดถูกช่วยไปแล้ว และยังชี้บอกทางออกที่ใกล้ที่สุด เขาถึงหนีรอดจากความตายได้
ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าอันตรายกว่าที่ญาธิดาคิดไว้มาก ได้ยินภวินท์อธิบายทุกอย่างให้เธอได้ฟัง ญาธิดารู้สึกหดหู่และเศร้าใจ
คิดไม่ถึง……สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างจะจบลงแบบนี้ ส่วนเกล้าแก้ว ในที่สุดก็ได้คืนหนี้บุญคุณทุกอย่างให้กับเธอแล้ว
หัวใจเจ็บแปล๊บ ญาธิดาเศร้าในใจ ซบหน้าลงตรงหน้าอกของภวินท์ ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ
ภวินท์ยื่นมือออกมาลูบหลังเธอเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเสียงแผ่วๆ “ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนั้น แต่ก็ยังดี ทั้งหมดล้วนคุ้มค่า”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็ไม่มีความลังเลอีก รีบพยักหน้า
ปล่อยให้หญิงสาวได้ปลดปล่อยระบายอารมณ์ออกมาอย่างช้าๆ ในที่สุดภวินท์ได้ยื่นมือออกมาเชยคางของเธอขึ้น หยิบทิชชูมาเช็ดน้ำตาตรงหางตา จากนั้นก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องร้องแล้วนะ อย่างน้อยตอนจบของพวกเราก็ดีไม่ใช่เหรอ”
ญาธิดาทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ สุดท้ายก็ยกริมฝีปากขึ้น ยิ้มเศร้าและพยักหน้า
ภวินท์ยกมุมปากขึ้น ยื่นมือมาจับใบหน้าของเธอ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “อย่างนั้นคำพูดของเธอในตอนนั้น ยังนับไหม”
ญาธิดาชะงัก ช็อตไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
ภวินท์เห็นท่าทางมึนงงที่น่ารักของเธอ รอยยิ้มใต้ดวงตาก็ยิ่งลุ่มลึกขึ้น เอ่ยปากเตือนเธอว่า “คำพูดเหล่านั้นของเธอตอนที่อยู่หน้าประตูโรงงาน”
ผ่านการเตือนของเขา ญาธิดาก็เข้าใจทันที ที่แท้เขาก็หมายถึง……
“ขอเพียงคุณกลับมา ฉันรับปากว่าจะเริ่มต้นใหม่กับคุณ! ฉันจะบอกกับลูกแฝดว่าคุณพ่อที่แท้จริงของพวกเขาเป็นใคร! ขอเพียงคุณยอมกลับมา! ฉันต้องการแค่คุณกลับมา……”
ตอนนั้นคำพูดที่เธอตะโกนอยู่ตรงนั้นราวกับคำสาปก็ไม่ปาน แวบเข้ามาในความคิดของเขา ฉับพลันรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
เธอจะไปรู้ได้อย่างไร คำพูดตัวเองที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเหล่านั้น กลับถูกคนได้ยินอย่างชัดเจน เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อยอยู่นะ!
เธอดึงสายตากลับอย่างเหนียมอาย และก็สบตาเข้ากับคู่ดวงตาที่ซ่อนรอยยิ้มของภวินท์เข้าพอดี ทันใดนั้นแก้มของเธอก็ยิ่งร้อนผ่าว เธอเบนสายตาไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “คำพูดอะไร ฉันลืมไปหมดแล้ว”
ภวินท์ยิ้มเบาๆ ยกมือขึ้นจับหน้าเธอให้ตรง “ตอนนั้นคุณบอกว่าจะคืนดีกับผม ยังบอกว่าจะบอกอีธานกับเอลล่าว่าผมต่างหากเป็นพ่อแท้ๆ ของพวกเขา”
ญาธิดารู้สึกแต่เพียงว่าเลือดลมพลุ่งพล่าน ลำคอแข็งเกร็ง “ใคร…ใครเป็นคนพูด ฉันไม่ได้พูดนะ!”
ภวินท์หยิกใบหน้านุ่มๆ ของเธอ ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ยังจะมาเฉไฉอีก”
เห็นญาธิดาปฏิเสธไม่ยอมรับ เขาจึงยิ้มเบาๆ สายตากวาดมองที่ประตูห้องผู้ป่วย จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดังออกมา “ทุกคนล้วนได้ยินหมด เธออย่ามาเฉไฉ”
ญาธิดาถามกลับอย่างเคืองโกรธ “เหลวไหล! ใครกันได้ยิน”
คำพูดของเธอเพิ่งสิ้นสุด ประตูห้องผู้ป่วยจู่ๆ ก็มีเสียงดัง “ตุบตับๆ” เสียงฝีเท้าวิ่งดังลอยมา อีธานกับเอลล่าคนหนึ่งอยู่หน้าอีกคนอยู่หลังวิ่งเข้ามาหา กระโจนไปที่ข้างเตียงดึงเสื้อของญาธิดาขึ้น จากนั้นกล่าวพร้อมกันว่า “คุณแม่ พวกเราต่างก็ได้ยินค่ะ/ครับ!”
ญาธิดาชะงักงันด้วยความงุนงง ที่จู่ๆ ก็สองหนูน้อยปรากฏตัว
เอลล่าออเซาะอยู่ที่ข้างกายของภวินท์ ยิ้มอย่างไร้เดียงสา แล้วกล่าวอย่างมีความสุข “คุณแม่คะ คุณแม่รับปากคุณพ่อเถอะค่ะ!”
อีธานที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ! รับปากคุณพ่อเถอะครับ!”
สีหน้าญาธิดาเต็มไปด้วยความงุนงง มองสองหนูน้อยที่เปลี่ยนคำสรรพนามเรียกภวินท์ว่าคุณพ่อ เธอตกใจอย่างมาก “พวกลูก……”
ภวินท์ยกริมฝีปากยิ้มขึ้น สารภาพกับเธอ “ความจริงแล้วก่อนที่เธอจะตื่น ฉันตื่นขึ้นมาก่อนหนึ่งครั้งแล้ว อีธานกับเอลล่ามาเยี่ยมเธอ ถามคำถามฉันมากมาย ฉันก็เลยบอกทุกอย่าง……”
เห็นสองหนูน้อยแล้ว ญาธิดาทั้งโมโหทั้งขำ
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะรวมตัวเข้าขากับภวินท์ได้เร็วขนาดนี้ แบบนี้เธอจะยอมได้อย่างไร
เห็นอีธานกับเอลล่าไม่ทันได้สังเกต เธอจึงผุดความคิดขึ้น จู่ๆ ก็ยื่นมือไปจักจี้ที่รักแร้ของพวกเขา “เจ้าสองหนูน้อยตัวดี กล้าทรยศแม่! ดูซิแม่จะลงโทษลูกๆ อย่างไร!”
“ฮ่าๆ! คุณแม่! ต่อไปหนูไม่กล้าแล้ว!”
“ช่วยด้วย! คุณแม่หนูยอมแล้ว คุณพ่อรีบมาช่วยหนูเร็ว! ฮ่าๆ จักจี้!”
“ได้สิ! พ่อกอดคุณแม่ไว้! พวกหนูรีบมาจักจี้คุณแม่สิ!”
“ฮ่าๆ! สุดยอดคุณพ่อ!”
“……….”
ชั่วครู่เดียว บรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คมชัดราวกับเสียงกริ่งจนลอยออกไปนอกหน้าต่าง และปลิวไปกับสายลม…
ญาธิดาหัวเราะจนน้ำตาเล็ดออกมา แต่ว่าเวลานี้ เธอพอใจมากๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุดในหลายปีที่ผ่านมา!
นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเขาคือคนที่เธอยอมรับว่าเป็นครอบครัว เธอจะต้องจับมือพวกเขาไว้ให้แน่นๆ และจะไม่ปล่อยมือไปอีก!
-จบบริบูรณ์-