ดวงใจภวินท์ - บทที่ 713 ทำไมฉันต้องเชื่อคุณ
ขวัญตาไปที่บ้านตระกูลกรเวชเพื่อเยี่ยมอัญมณีที่ถูกควบคุมอยู่ พร้อมกันนั้นจะช่วยคลี่คลายปมในใจของอันอันด้วย คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินออกจากประตูไม่ทันไร ก็เห็นญาธิดาที่เดินด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว
ทั้งสองเดินสวนกัน เธอหันหน้าไปร้องเรียกญาธิดาเอาไว้ “คุณญาธิดา”
เมื่อได้ยินเสียง ญาธิดาก็หันกลับไปด้วยความสงสัย เธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ ได้แต่ตอบรับอย่างสุภาพ “คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ”
บนใบหน้าของขวัญตามีรอยยิ้มจางๆผุดขึ้นมา ตอบกลับด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า “คุณเป็นคนที่มีชื่อเสียง และยังเป็นแม่ของเด็กที่น่ารักทั้งสองคนอย่างอีธานกับเอลล่า ฉันรู้จักคุณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ญาธิดาพยักหน้าเบาๆถือว่าเป็นการทักทายกับเธอ “ฉันยุ่งนิดหน่อย วันนี้คงไม่มีเวลาคุยด้วย”
เห็นว่าเธอกำลังจะจากไป ขวัญตาค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “คุณธีทัตไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว อันอันก็คงออกมาพบคุณไม่ได้”
ได้ยินเรื่องของอันอันจากปากของเธอ ความกระวนกระวายในใจของญาธิดาถูกกระชากออกมา เธอรีบหันกลับไปทางขวัญตาทันที ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุณเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้รู้เรื่องของบ้านกรเวชดีนัก”
รอยยิ้มขมขื่นที่แฝงอยู่ในแววตาของขวัญตาค่อยๆเข้มข้นขึ้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ทำสีหน้าให้กลับสู่ความอ่อนโยนเรียบเฉยเช่นก่อนหน้านี้
“ในเมื่อวันนี้คุณก็ไม่สามารถจะพบกับพี่น้องตระกูลกรเวชได้แล้ว ไม่สู้เอาเวลาให้ฉันดีกว่า ฉันอยากจะคุยกับคุณ”
ญาธิดาไม่ได้ปิดบังความสงสัยที่แฝงอยู่ในแววตา มองใบหน้าที่ดูไม่มีพิษภัยของขวัญตาอย่างวิเคราะห์ ในสมองของเธอมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา ผู้หญิงยิ่งสวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลอกลวงเก่งเท่านั้น
เธอรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจจะเข้ามาตีสนิทเธอ แต่ว่าในเวลาสั้นๆแค่นี้ไม่สามารถเดาได้ว่าจุดมุ่งหมายที่เข้ามาตีสนิทนั้นเพื่ออะไร บางทีอีกฝ่ายอาจมาอย่างไม่เป็นมิตรก็ได้
เธอได้รับบทเรียนจากนิวราไม่น้อยแล้ว หลงเชื่อใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาของนิวราครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนิวราหลอกลวง แน่นอนว่าตอนนี้ย่อมไม่กล้าจะหลงเชื่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้
ราวกับเดาความคิดของเธอออก ขวัญตาเอามือถือและกระเป๋ายัดไว้ในมือของเธอ ส่งสายตาให้เธอมองไปยังที่ที่ไม่ไกลนักเห็นพายุกำลังพาคนเข้ามา
พูดยิ้มๆว่า “คนที่ควรจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตตอนนี้ควรจะเป็นฉัน ไม่ใช่คุณ”
ญาธิดาพยักหน้าเบาๆ เพราะมีเพียงการใกล้ชิดกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น จึงจะวิเคราะห์ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู
ทั้งสองคนเลือกที่จะเข้าไปนั่งในร้านกาแฟย่านธุรกิจที่ค่อนข้างเงียบร้านหนึ่ง ขวัญตาแนะนำตัวและที่มาที่ไปของตนเองอย่างเปิดเผย เป็นการแสดงออกถึงเจตนาดีต่อญาธิดาก่อน และได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้กับญาธิดาได้รับรู้
นิ้วมือทั้งสิบของญาธิดาค่อยๆถูกกำเอาไว้ สุดท้ายก็กำเป็นหมัดแน่น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ธีทัตจะกลายเป็นคนที่บ้าคลั่งได้ขนาดนี้
เขาไม่เพียงแต่ทำร้ายขวัญตาที่ไม่มีความผิด ยังทำร้ายอันอันครั้งแล้วครั้งเล่า
“รอยแผลที่แขนของคุณ……”เธอพบเบาะแสด้วยความละเอียดอ่อน และถามเสียงเย็น
เพื่อง่ายต่อการปกปิดรอยแผลของตนเอง ในฤดูใบไม้ร่างที่แสงแดดร้อนขวัญตาได้สวมเสื้อคลุมแขนยาวบางๆตัวหนึ่ง เมื่อครู่ตอนที่คุยกับญาธิดารู้สึกร้อนมาก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าแผลนั้นได้ถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธอรีบดึงแขนเสื้อคลุมลง ยิ้มขมและตอบว่า “เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นในวันที่ดูทีวี ตอนนี้อารมณ์เขาไม่มั่นคง มักจะเกิดความรุนแรงขึ้นมาบ่อยๆ ดีที่สามารถทำให้จิตใจสงบได้โดยเร็ว”
บาดแผลลึกมาก ไม่เหมือนแผลปลอมที่สร้างขึ้นมา
ดวงตาของญาธิดาค่อยๆเคร่งขรึมลง ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง ในสายตามีแววจริงจังขึ้นมามาก“ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง”
“ในขณะที่คุณถามฉันแบบนี้ ก็แสดงว่าคุณเริ่มเชื่อที่ฉันพูดแล้ว ”ในน้ำเสียงของขวัญตาแฝงไปด้วยความมั่นใจ “เพราะว่าเชื่อฉัน ฉะนั้นจึงได้ให้ฉันแสดงหลักฐานที่จะทำลายความสงสัยของคุณออกมา”
ญาธิดาไม่ได้โต้แย้ง กลับยอมรับในสิ่งที่เธอพูด “คุณฉลาดมาก”
“จะฉลาดแค่ไหนก็เป็นได้แค่เงาของคุณเท่านั้น ”
พูดจบแล้วเธอก็จิบกาแฟ จากนั้นท่าทีก็จริงจังขึ้นมา พิงพนักโซฟา สายตาจ้องมองดวงตาของญาธิดาอย่างไม่กะพริบ
“บนโลกใบนี้มีสองสิ่งที่ไม่สามารถมองตรงๆได้ หนึ่งคือดวงอาทิตย์ สองคือใจคน คุณสงสัยฉันมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันคิดว่าการที่คุณจะตรวจสอบคนๆหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก ฉันกล้าพูดแบบนี้ ย่อมต้องไม่กลัวว่าคุณจะตรวจสอบ”
ทางด้านญาธิดายังคงไม่วางใจ แต่ทั้งสองคนก็นับว่าได้สร้างความเชื่อใจขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ เธอเลื่อนนามบัตรของตนเองไปตรงหน้าขวัญตา
“วันหน้าถ้าคุณขวัญตาเจอกับปัญหายุ่งยากสามารถติดต่อฉันได้ ฉันจะช่วยอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการตอบแทน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านกรเวช คุณต้องรายงานให้ฉันทราบทันที”
ขวัญตาไม่ได้รับนามบัตรเอาไว้ แต่รีบจดจำหมายเลขมือถือบนนามบัตรไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เลื่อนนามบัตรไปให้ญาธิดาอีกครั้ง “เรื่องของฉันคุณช่วยไม่ได้ แต่ถ้าหากฉันรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับคุณ จะติดต่อคุณทันที รวมถึงเรื่องอันอันด้วย”
ทั้งสองคนเห็นพ้องกัน ญาธิดาก็คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระแล้ว ลุกขึ้นวางเงินค่าเครื่องดื่มแล้วจากไป
ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูร้าน ขวัญตาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ร้องเรียกให้เธอหยุด จากนั้นก็เอามือถือออกมากดเบอร์โทรหาใครบางคน
“พี่ส้ม ขวัญเองค่ะ……”
ได้ยินว่าเธอโทรหาพี่ส้ม สายตาวาววับของญาธิดาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที รีบกลับไปนั่งลงตรงที่เดิม เธอรู้จักกับพี่น้องบ้านกรเวชมาหลายปี ย่อมรู้ดีว่าพี่ส้มคือใคร
หลังจากที่ขวัญตาได้ทักทายกับพี่ส้มพอเป็นพิธี ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา สั่งการด้วยเสียงต่ำว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหนู เธอช่วยส่งโทรศัพท์ไปในห้องคุณหนูที”
เธอพูดจบ ก็ยัดมือถือใว้ในมือของญาธิดา เป็นสัญญาณให้เธอเป็นผู้รับสาย
ญาธิดาส่งสายตาซาบซึ้งใจให้กับเธอ ลำโพงของโทรศัพท์เพิ่งจะเข้าใกล้ใบหู เสียงที่ฟังดูเป็นคนป่วยของอัญมณีก็ส่งผ่านมา “พี่ขวัญเกิดอะไรขึ้น ”
เมื่อได้ยินคำว่าพี่ ความเชื่อใจของญาธิดาที่มีต่อขวัญตาก็เพิ่มขึ้นมาอีกส่วน เพราะว่าอัญมณีนั้นเป็นคนที่แยกแยะคนตอแหลเก่งมาก สามารถได้รับการยอมรับจากเธอ ก็แสดงว่าขวัญตานั้นเชื่อถือได้
“ธิดาเอง”
อีกฝ่ายตกอยู่ในความเงียบงันทันที จากนั้นก็มีเสียงที่ไร้ซึ่งความโกรธดังขึ้นมา ระหว่างนั้นยังมีความสั่นเทาของเสียงเล็กน้อยปะปนอยู่ “พี่ขวัญ พี่ทัตเพิ่งกลับมาถึงบ้าน”
ญาธิดาเข้าใจขึ้นมาทันที ในใจเกิดความรู้สึกขมขื่น ถามเสียงเบาว่า “เธอยังสบายดีไหม”
“วันนี้พี่ทัตอารมณ์ไม่เลวเลย พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”อันอันตอบกลับมาอีกครั้ง
จากนั้นทั้งสองพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์ในเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ดวงตาของญาธิดาค่อยๆแดงขึ้นมา ในน้ำเสียงก็แฝงด้วยความสะอื้นไห้ที่ปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
อัญมณีได้ยินเข้า ก็รีบปลอบใจด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่อย่าเศร้าไปเลย ฉัน……”
ได้รับรู้ว่าสถานการณ์ของอันอันในตอนนี้ลำบากมาก ญาธิดาก็ควบคุมอารมณ์ตนเองต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลเป็นสายออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง รีบหาข้ออ้างเพื่อจะวางสายโทรศัพท์ ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เธอได้ยินเสียงรีบร้อนของอัญมณีที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“พี่ ฉันไม่อยากถูกขังอยู่ในห้องตลอดไป พี่ช่วยฉันพูดกับพี่ทัตอีกครั้งได้ไหม”
ขวัญตาได้ยินคำพูดของญาธิดา คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นมาทันที “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ฉันคอยประสานปรับความเข้าใจระหว่างพวกเขาสองคน แต่ธีทัตไม่เคยจะรับฟังสิ่งที่ฉันพูดเลย ถ้าขืนยังขอร้องอีก เกรงว่าแม้แต่หน้าของอันอันก็คงไม่ได้เห็นอีก ฉันคิดว่าบางทีอาจมีแค่คำพูดของคุณ ที่ธีทัตจะยอมรับฟังบ้าง”
ญาธิดาส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
ธีทัตหลอกเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ปกปิดสถานการณ์ที่แท้จริงของอันอันกับเธอ หมายความว่าธีทัตไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอก็ตัดสินใจ พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ขอร้องเขาไม่ได้ ก็ขโมยตัวอันอันออกมา”