ดวงใจภวินท์ - บทที่ 74 ติดอยู่บนเรือ
เห็นญาธิดานิ่งไปนาน ภวินท์จึงหันมาถามว่า “เป็นอะไรไป?”
ญาธิดาจับโทรศัพท์แน่น ท่าทางเหมือนจะร้องไห้ “โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลย”
ได้ยินอย่างนั้น ภวินท์เอาโทรศัพท์ตัวเองออกมา กวาดสายตามองหน้าจอ แววตาเคร่งขรึมขึ้นอีก
จริงด้วย สัญญาณมีไม่ถึงครึ่ง อย่าว่าแต่โทร แค่ต่อเน็ตยังทำไม่ได้เลย
ตอนนี้ไม่มีวิธีไหนแล้ว พวกเขาติดอยู่บนเรือ ถ้าไม่คิดหาวิธี เกรงว่าสถานการณ์จะแย่ขึ้นกว่าเดิม
“คุณนั่งตรงนี้ประคองหัวเรือให้นิ่ง ผมจะดูตรงท้ายเรือ”
ภวินท์น้ำเสียงเคร่งขรึม จัดการให้ญาธิดานั่งตรงหัวเรือ จากนั้นขยับไปที่ท้ายเรือ ใช้ไม่พายแหวกคลื่นออก อยากจะดูว่าด้านล่างเป็นยังไง
ถ้าไม่ใช่เพราะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเครื่องยนต์จนทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงาน หรือไม่ก็ตัวเครื่องยนต์มีปัญหา
ใช้ไม้พายเคาะตรงตัวเรือตรงตำแหน่งที่บรรจุเครื่องยนต์ไว้ และมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรแปลกปลอม เขากลับมาที่หัวเรืออีกครั้ง ลองสตาร์ทใหม่อีกครั้ง แต่นอกจากเสียง “กึก กึก” เรือไฟฟ้าก็ไม่การตอบสนองอย่างอื่นอีกเลย
ญาธิดามองจากอีกด้านด้วยหัวใจบีบแน่น เธอหายใจเข้าลึกๆ เห็นว่าเรือยังไม่ขยับ อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ถ้าเราติดอยู่ตรงนี้จริงๆ จะทำยังไง?”
ภวินท์นิ่งไป หันกลับมามองและสบตาเข้าดวงตาแวววาวของหญิงสาวพอดี แต่กลับมองเห็นความกังวลได้อย่างชัดเจน
เขาพูดปลอบโยนเธอ “สบายใจได้ ไม่มีทางหรอก”
ขอแค่มีเขาอยู่ เขาไม่ยอมให้เธอเกิดเรื่องแน่นอน
ลองสตาร์ทเครื่องอยู่หลายครั้ง แต่เรือก็ยังแน่นิ่ง ภวินท์ขมวดคิ้ว ในใจค่อนข้างมั่นใจ
น่าจะเพราะเครื่องยนต์มีปัญหา
เขาหันมองไปรอบๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงทางโค้งด้านหลังพุ่มไม้พอดี ต่อให้มีเรือผ่านมา แต่ก็จะโดนพุ่มไม่สูงบังไว้จนมองไม่เห็น พวกเขามองไม่เห็นทางนั้น ทางนั้นก็มองไม่เห็นพวกเช่นกัน
นี่เป็นสถานการณ์ที่ที่แย่ที่สุด ต่อให้พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากเรือที่ผ่านมาก็ไม่ง่ายเลย นอกจะมีเรือวิ่งอ้อมผ่านพุ่มไม้มาถึงจะมองเห็นพวกเขา
มองสำรวจภูมิประเทศรอบนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ภวินท์หลับตาลงอย่างไม่ตั้งใจ เห็นญาธิดานั่งอยู่ที่หัวเรือ มือทั้งสองข้างจับกันไว้แน่น แก้มแดง
ภวินท์ลังเลอยู่ชั่วครู่ และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตั้งสติ ถ้ามีเรือผ่านมาทางนี้พวกเราก็กลับไปได้แล้ว”
ญาธิดาพยักหน้า พยายามลุกขึ้นยืนและมองไปรอบ แต่เมื่อเธอลุกขึ้นยืน เรือก็โยกโคลงเคลง เธอส่ายหน้าไปมาจนแทบจะยืนไม่ติด
ทันใดนั้น มือที่มีพลังและอบอุ่นโอบไหล่เธอไว้ และกดให้เธอนั่งลงเบาๆ “นั่งให้ดี ประคองเรือไว้ ที่เหลือผมจัดการเอง”
ได้ยินที่ชายหนุ่มแนะนำ ใจของญาธิดาสงบลงไม่น้อย และพยักหน้าจริงจัง
ถึงแม้จะซวย ที่ได้ออกมาเที่ยวทะเลสาบแต่กลับติดอยู่บนเรือ แต่โชคดีคือมีเขาอยู่ด้วย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ญาธิดาหันมองเวลา ตอนนี้หมดเวลาการแข่งขันแล้ว ตอนนี้ทุกคนน่าจะกลับไปขึ้นฝั่งกันหมดแล้ว
อุณหภูมิรอบๆ ลดลงเรื่อยๆ ญาธิดานั่งอยู่บนเรือ สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่ค่อยๆ เข้ามาปะทะร่าง เริ่มจากมือเท้าจนหนาวไปทั้งตัว
ภวินท์ยืนมองอยู่ที่ท้ายเรือนาน แต่ไม่เห็นแต่เงาเรือสักลำ
เขาหันกลับมามอง เห็นญาธิดานั่งตัวสั่นนิดๆ อยู่ตรงนั้น
“หนาวไหม?” สีหน้าเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย เขารีบหมุนตัวกลับมา ยื่นมือไปแตะมือเธอ มือเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง!
หลายวันมานี้ เธอตากฝนจนไข้ขึ้น จากนั้นก็ตกน้ำ และตอนนี้ก็ติดอยู่บนเรือกลางทะเลสาบนานกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว โดยไม่ได้กินอะไรเลย ร่างกายไม่ได้รับพลังงาน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อเธอต้องเป็นหวัดแน่นอน
และถ้าไม่สบายขึ้นมา ภูมิคุ้มกันลดลง สภาพร่างกายของเธอไม่สามารถรับการผ่าตัดได้…
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น และถอดเสื้อคลุมออกกำลังกายออกมาคลุมให้ญาธิดาโดยไม่ลังเล
เห็นว่าชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีเทาด้านในแค่ตัวเดียว ญาธิดารีบส่ายหน้า “ไม่เอา ฉันไม่หนาว…”
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ไม่พูดอะไรและเอาเสื้อคลุมไว้บนตัวเธอและช่วยดึงซิปขึ้นให้เรียบร้อย คลุมไว้อย่างมิดชิด
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ จ้องเขาและถามว่า “คุณเอาเสื้อมาให้ฉัน แล้วคุณใส่อะไร?”
ต่อให้ร่างกายเขาแข็งแรง แต่เรือติดอยู่ในทะเลสาบ รอบด้านมีแต่ความหนาวเย็น ร่างกายของคนทั่วไปทนไม่ไหว
ภวินท์กล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณใส่ไว้ ผมไม่ต้องการ เข้าใจไหม?”
ได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวของชายหนุ่ม ญาธิดาทำได้แค่เก็บคำพูดที่เหลือไว้
เวลาผ่านไปเงียบๆ และดูเหมือนทุกวินาทีจะยาวนาน ยืดเยื้อ ยากเย็นขึ้นจนทำให้เริ่มวิตก
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ เอื้อมมือไปดึงแขนของภวินท์ไว้และพูดเบาๆ ว่า “พวกเราคุยกันหน่อยไหม…”
ไม่งั้น จะแค่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก
ภวินท์ได้ยินอย่างนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง และนั่งลงด้านข้าง “อยากคุยอะไร?”
ญาธิดาเอียงหน้าคิด พูดเสียงเบาว่า “ฉันอยากรู้ ทำไมคุณถึงกลายมาเป็นประธานบริษัทที่ทำได้ทุกอย่างด้วยตนเอง?”
ได้ยินเธอถามอย่างนี้ แววตาของภวินท์นิ่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
ช่วงเวลานั้น สำหรับเขาแล้วเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพ่อ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหนีออกจากรัศมีของพ่อ พยายามอย่างยิ่งเพื่อสร้างธุรกิจด้วยลำแข้งตัวเอง
ฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เริ่มจากการดื่มขั้นพื้นฐาน การคุยธุรกิจจนถึงการวางแผนงาน การร่างสัญญา จนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับทุกโครงการ และทุกวิถีทางของการทำธุรกิจอย่างลึกซึ้ง เขาเติบโตขึ้น แต่พ่อก็มาป่วยลง
เขากลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลสถิรานนท์โดยชอบธรรม เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีการคัดค้านใดๆ
เห็นเขานิ่งไปนานไม่พูดอะไร และจ้องไปอีกทาง เธอค่อยๆ ขยับเข้าหาเขาและถามเบาๆ ว่า “ไม่สะดวกเล่าใช่ไหม?”
แววตาภวินท์เย็นชา พูดอย่างเรียบนิ่ง ว่า “ผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดมาเยอะ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย”
น้ำเสียงไม่มีความยุ่งยาก แต่ทำให้คนฟังจินตนาการความมืดมนในตอนนั้นไม่ออก
ในใจญาธิดาหนักอึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดที่จริงจังขนาดนี้จากปากผู้ชายคนนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่กลับรวบรวมความยากลำบากความเจ็บปวดเหนื่อยล้าทั้งหมดไว้
ญาธิดาเอามือเท้าคางและพึมพำว่า “ความจริงแล้ว ฉันอยากจะเป็นอย่างคุณ”
เธอพูดจบ เสียงแหบแห้งของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่ขึ้นมาข้างหู “คุณไม่จำเป็น”
“ทำไม?”
ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของภวินท์หายไป และพิงราวจับด้านข้างด้วยความเกลียดคล้านตามอำเภอใจ “มันเหนื่อยมาก คุณไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนี้ อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์อย่างนี้ ก็ดีอยู่แล้ว
หัวข้อนี้ เหมือนเป็นกุญแจเปิดใจของทั้งสองคน ไม่รู้ว่าคุยกันไปนานแค่ไหน
ไม่นาน ภวินท์รู้สึกหนักตรงไหล่ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าหัวของญาธิดาพิงอยู่บนไหล่เขา จากมุมเขาสามารถมองเห็นจมูกโด่งละเอียดอ่อนของเธอได้ชัดเจน
เธอพึมพำถามว่า “คุณว่า พวกเขาจะรู้ไหมว่าพวกเราไม่ได้กลับไป?”
ภวินท์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “รู้สิ”
จนถึงตอนนี้พวกเขาไม่เหลือทางออกใดๆ แล้ว โทรศัพท์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม้พายอันเดียวที่มีอยู่ก็พายเรือไม่ไหว พวกเขาเหลือแค่วิธีเดียว ก็คือรอ
รอให้เพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ได้กลับไป และขับเรือออกตามหาพวกเขา
ญาธิดาเอียงหน้าคิด พูดเสียงเบาว่า “ฉันอยากรู้ ทำไมคุณถึงกลายมาเป็นประธานบริษัทที่ทำได้ทุกอย่างด้วยตนเอง?”
หญิงสาวด้านข้างสงบลง ไม่พูดอะไรนาน ภวินท์หันไปดู ไม่รู้ว่าญาธิดาหลับตาไปตั้งเมื่อไหร่
หลับในสถานการณ์อย่างนี้ เป็นหวัดได้ง่ายมาก
เขาขมวดคิ้วและรีบพูดว่า “ญาธิดา อย่าเพิ่งหลับ”