ดวงใจภวินท์ - บทที่ 786 เผชิญหน้ากับความตาย
“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ……”
น้ำตาของชมพู่ร่วงหล่นลงมาประหนึ่งกับลูกปัดที่แกนด้ายขาด ตอนนี้นอกจากคำว่า “ขอโทษ”แล้ว ก็ไม่มีคำพูดใดอื่นแล้ว
เห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ ญาธิดาอดไม่ได้ที่ใจจะบีบรัดขึ้น ความเจ็บปวดก็ไหลผ่านเข้ามา ความผิดหวังในดวงตาที่ไม่สามารถปกปิดได้ กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ทำไมต้องหักหลังฉัน เพราะธีทัตให้เธอทำแบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่ เธออย่าบังคับฉันเลย ฉันไม่สามารถพูดได้จริงๆ” ชมพู่ยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด ร่างค่อยๆเลื่อนถลาลงไปตามกำแพงอย่างช้าๆ กอดศีรษะราวกับขังตัวเองไว้ และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ชมพู่ติดต่อกับคนของคลาวด์เพื่อหักหลังเธอ คนเดียวที่เธอนึกถึงก็มีเพียงแต่ธีทัต ผู้ชายคนนี้จะบ้าคลั่งได้แค่ไหน ถึงได้หลอกใช้คนข้างกายที่สำคัญที่สุดของเธอมาทำร้ายเธอให้ถึงตาย!
เธอหรี่ตาลงมองความเจ็บปวดของชมพู่ ปลายนิ้วมืออดไม่ได้ที่จะกำแน่น ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยปากกล่าวขึ้น “เธอไปเถอะ”
เสียงร้องไห้ของชมพู่หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ มองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เลือกที่จะไปคลาวด์หรือว่าบริษัทอื่นก็แล้วแต่เธอ ฉันจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เธอสามารถโยกย้ายงานได้อย่างสบายใจ” ในน้ำเสียงของเธอมีความรู้สึกอ่อนแรง
“ธิดา……” ชมพู่ได้ยินดังนั้นก็จับเสื้อของเธอแล้วเขย่า กล่าวอ้อนวอนด้วยเสียงเบาๆ “ฉันไม่ไป เธออย่าไล่ฉันไปได้ไหม ฉันจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก เธอให้โอกาสฉันสักครั้งนะ โครงการของบริษัทยังจัดการไม่เสร็จ ฉัน……”
“โครงการเหรอ” เธอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้น “วางใจเถอะ โครงการของบริษัทจะทำเครื่องหมายชื่อของเธอไว้ ไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและชื่อเสียงของเธอหรอก ฉันจะให้สวัสดิการที่ดีที่สุดแก่เธอ ทีนี้เธอพอใจหรือยัง”
“ไม่ใช่แบบนี้” ชมพู่พลางพูดพลางกระแอมไอสองสามที แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง “ฉันอยากจะช่วยเธอจัดการให้แล้วเสร็จเป็นครั้งสุดท้าย”
“ฉันไม่ต้องการ!” เสียงตะคอกดังก้องขึ้น สะท้อนอยู่ในทางหนีไฟเป็นเวลานาน
ญาธิดาปรับอารมณ์เสร็จ ก็สะบัดมือของเธอออก สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอเดินเส้นทางของเธอ ฉันเดินเส้นทางของฉัน พวกเราสองคนไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
เสียงไอดังรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ชมพู่ปิดคู่ดวงตาลง แล้วตบที่หน้าอกซ้ำๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เลือดก็พุ่งออกมาจากปาก
เลือดสดๆ สีแดงเข้มจนน่าตกใจอย่างมาก
ญาธิดาสีหน้าเปลี่ยนทันที นั่งยองลงไปประคองไหล่ของเธอไว้ทันที “ชมพู่ เกิดอะไรขึ้น!” ชมพู่ยกมือโบก ฝืนยิ้มขึ้นอย่างปลอบใจ จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ มือที่โบกอยู่กลางอากาศได้ร่วงลงบนตัวของญาธิดาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ชมพู่!” ญาธิดาเรียกชื่อเธอ มือไม้ลนลานติดต่อกับพายุให้ตรงไปที่โรงพยาบาลสงฆ์
ชมพู่อยู่บนเตียงผู้ป่วยโดยมีสีหน้าซีดเซียว ดวงตาปิดสนิท ที่มองดูแล้วคงเจ็บปวดน่าดู
สีหน้าของญาธิดาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เฝ้าเธออยู่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ คอยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอตลอดเวลา ในหัวสมองดังกึกก้องด้วยคำพูดของคุณหมอที่พูดเมื่อสักครู่
“ตอนนี้คนไข้ต้องการพักผ่อนมากๆ คนไข้เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ทำไมยังทำงานหักโหมเช่นนี้อีก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพักผ่อนให้มาก”
“รู้ตอนนี้ก็รักษาไม่ทันแล้ว ตอนนี้เงินสามารถยื้อแค่ลมหายใจเท่านั้น แต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ หากว่าหวังดีต่อเธอจริงๆ ให้รีบแจ้งทางญาติโดยเร็วที่สุดและให้เตรียมใจเถอะ”
น้ำเสียงกระแอมไอเบาๆ ดังขึ้นข้างใบหูของเธอ จึงดึงสติของเธอกลับคืนสู่ความเป็นจริง เธอรีบจับมือของชมพู่ไว้ และถามด้วยความเป็นห่วง “เธอตื่นแล้วเหรอ รู้สึกตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า อยากกินอะไรไหม”
ชมพู่สำรวจเตียงผู้ป่วย จากนั้นใบหน้าก็ยกรอยยิ้มขมขื่นขึ้น มองเธอที่ใบหน้าเต็มไปด้วยโศกเศร้า จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ “เธอรู้เรื่องหมดแล้วใช่ไหม” ญาธิดาหรี่ตาลง พยักหน้าเบาๆ
ชมพู่กระแอมไออีกสองสามที กล่าวอธิบายด้วยลมหายใจแผ่วเบา “ฉันรู้ฉันผิดต่อเธอ ฉันแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น ตอนนี้ฉันคิดตกแล้ว ฉันไม่ควรเห็นแก่ตัวเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะอย่างไรแต่ละคนก็ล้วนมีชะตาเป็นของตัวเอง”
เธอพลางพูดพลางยกมือขึ้นมาจับที่แก้มของญาธิดาอย่างช้าๆ ใบหน้าก็ค่อยๆ ผุดรอยยิ้มขึ้น “ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับความตายด้วยความรู้สึกผิด ยังดีที่เธอไม่เป็นอะไร”
“ฉันเข้าใจทั้งหมด อันที่จริงฉันก็ไม่ได้โทษเธอ เธอวางใจได้เลย ฉันจะต้องให้วินหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาเธอให้ได้” เบ้าตาญาธิดาแดงก่ำ กล่าวอย่างสะอึกจนมือที่จับมือของเธอไว้สะอึกตาม
ชมพู่ส่ายหน้าเบาๆ “ฉันรู้ร่างกายของฉันดี อย่าทำเรื่องเหล่านี้ที่ไม่มีประโยชน์อีกเลย รีบกลับไปที่บริษัทเถอะ”
เธอกล่าวจบก็ดึงมือกลับจากมือของญาธิดาทันที ปิดคู่ดวงตาแน่นไม่อยากจะมองญาธิดาอีก
ญาธิดาเข้าใจความหมายของเธอ และก็ไม่อยากให้เธอเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้ ถอยสามก้าวแล้วหันหลังออกจากห้องผู้ป่วยไป
“แกร๊ก” เสียงแผ่วเบาของชมพู่ค่อยๆ ดังขึ้น “ธิดา ฉันทำงานที่ STN Group มาเจ็ดปี ค่อยๆ เติบโตในแผนกธุรการ
ญาธิดาไม่ได้ตอบกลับเธอ ปิดประตูห้องผู้ป่วยเบาๆ แล้วเอนตัวพิงกับแผ่นประตูอย่างอ่อนแรง กัดริมฝีปากล่างแล้วสะอื้นเบาๆ
เพิ่งจะผ่านวันส่งท้ายปีเก่าไปได้ไม่นาน ญาธิดาก็ได้รับข่าวจากพ่อแม่ของชมพู่ เธอไม่มีเวลามาสนใจความโศกเศร้า และรีบจัดหาคนใหม่มารับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายธุรการทันที
เธอตั้งใจเลือกผู้หญิงที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยตอนที่ชมพู่ยังเป็นผู้จัดการ เธอคนนั้นมีนิสัยที่เหมือนกับชมพู่ ทำงานอยู่ที่ STN Group มาหลายปี รักงานตำแหน่งนี้เหมือนกันชมพู่
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อัญรินทร์ได้โทรศัพท์หาเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเตรียมงานแต่ง
แต่ละวันเธอยุ่งจนหัวหมุนเหมือนกับลูกข่าง จึงกล่าวโอดครวญกับอัญรินทร์ครั้งแล้วครั้งเล่า “รอเธอแต่งงานเสร็จ ฉันก็จะหลุดพ้นแล้ว”
อัญรินทร์ที่กำลังลองชุดแต่งงานอยู่ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็รีบมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ “หากไม่ใช่เพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกดดัน ฉันจะเดินเข้ามาสู่สุสานแห่งรักเร็วขนาดนี้เหรอ”
“เธอพูดแบบนี้กับคนที่แต่งงานแล้ว เธอไม่กลัวโดนตบหรือไง” ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน “ถ้าเป็นตามที่เธอพูด หญ้าบนสุสานของฉันคงจะยาวสามเมตรแล้ว”
อัญรินทร์ยิ้มแล้วโน้มไปที่ข้างตัวเธอ “นั่นเป็นเพราะว่าเธอวางตัวเหมาะสม ฉันกับคณินนั้นไม่เหมือนกัน แค่คิดว่าต่อไปจะต้องห่างพี่ชายพี่สาว พวกเราสองคนแทบจะกอดคอกันร้องไห้”
คำพูดยังไม่ทันสิ้นสุด คณินก็ได้เดินออกมาจากห้องลองชุดที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้ว เขากับอัญรินทร์ต่างตกตะลึงในเวลาเดียวกัน และทั้งคู่ต่างแก้มแดงก่ำขึ้น
ผ่านไปสักพักเขาถึงกล่าวติดอ่าง “เห็นแก่หน้าคุณที่สวยมากในวันนี้ จะไม่ถือสาคุณอีกต่อไปแล้ว วันหน้าค่อยพูดถึงเรื่องเก่าๆ ก็แล้วกัน ผมจะให้ตาเฒ่าขังตัวคุณไว้”
“ถ้าจะขังก็ต้องขังตัวคุณก่อน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะสองวันก่อนคุณยังไปเต๊าะสาวอื่นที่บาร์น่ะ ฉันเห็นทุกอย่างหมดแล้ว!” อัญรินทร์เท้าสะเอวอย่างไม่พอใจ
“นั่นผมไปเจรจาธุรกิจต่างหาก อีกอย่าง……” คณินน้ำเสียงหยุดชะงัก ฉับพลันเบิกตาโพลงถามด้วยความโมโห “คุณได้เห็นไง”
“ฉัน……”
ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วมองดูสองคนที่ทะเลาะกันอย่างหนุงหนิง บนใบหน้าจึงผุดรอยยิ้มที่อบอุ่น และก็ส่ายอย่างช่วยไม่ได้