ดวงใจภวินท์ - บทที่ 790 อย่ารับปากกับข้อแลกเปลี่ยน
“ฉันเป็นพ่อของแก ทำไมถึงเรียกว่าตรวจสอบล่ะ” วีริศจะยิ้มไม่ยิ้มและตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันตรวจสอบแกแล้วยังไง ก็เป็นเรื่องที่สมควร”
“คุณมันไม่มีเหตุผล……” ธีทัตกัดฟันแล้วจ้องมองเขา
วีริศสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน กำลังคิดที่อยากจะสะบัดมือใส่หน้าเขา แต่เหมือนกับนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ มือที่ง้างขึ้นมาสูงๆ นั้นก็ค่อยๆ วางลงช้าๆ
“ขยะตัวนี้ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวคนเดียวของ JH Real Estate ฉันไม่อยากจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายๆ ฉันเชิญเธอมาก็เพื่ออยากจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับแก” เขามองธีทัตด้วยสายตาที่เย็นชา
ธีทัตพยายามสงบสติให้ใจเย็นเอาไว้ แล้วกอดขวัญตาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และมองเขาด้วยสีหน้าที่ระมัดระวัง “ผมไม่สนใจวิธีการที่น่ารังเกียจเหล่านั้นของคุณ และก็จะไม่ช่วยเหลือคุณด้วยยิ่งไม่ยอมให้คุณทำร้ายขวัญ”
ขวัญตาได้ยินดังนั้นใต้ดวงตาก็ประกายความประหลาดใจ ปลายนิ้วมือกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แล้วโอบแขนของเขาไว้
วีริศได้ยินดังนั้นก็โบกมือสะบัด “ฉันไม่ต้องการให้แกช่วย ตรงกันข้าม ฉันหวังอยากได้ขวัญมาเป็นลูกสะใภ้……”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย กดเสียงต่ำแล้วกล่าว “ฉันแค่ต้องการให้แกดูแลบริษัทให้ดีๆ อย่าแทรกแซงแผนการของฉันกับนพเก้าเท่านั้น”
“ทัต……” น้ำเสียงแผ่วเบาของขวัญตาดังขึ้น กล่าวเตือนเบาๆ “อย่ารับปากเขา เขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก อย่าให้เขาทำร้ายธิดา……”
ความลังเลแวบเข้ามาในดวงตาของธีทัต ราวกับเป็นการยากที่จะตัดสินใจ
แม้ว่าเสียงของเธอจะแผ่วเบามาก แต่ก็ยังลอยดังเข้าไปในใบหูของวีริศทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็หม่นลงในทันที พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณ จากนั้นบอดีการ์ดก็เข้ามาลากตัวเธอไปด้านข้าง
การกระทำของบอดีการ์ดไม่ได้อ่อนโยน ร่างที่อ่อนแรงของขวัญตาถูกลากมาที่ด้านข้างของวีริศจากนั้นเขาก็บีบคอของเธอทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ถ้าหากว่าฉันจะลงมือกับลูกสาวเพียงคนเดียวของ JH Real Estate จริงๆ เช่นนั้นเธอก็ไม่มีประโยชน์กับตระกูลกรเวชสักนิดเดียว”
ขวัญตาจ้องมองเขาด้วยที่สายตาแผดเผา “คุณกล้าเหรอ!”
“อย่าท้าทายความอดของฉัน นึกถึงพ่อที่อายุมากของเธอสิ จะรับสภาพการล้มละลายได้ไหม” วีริศหัวเราะเยาะอย่างดูถูก ปลายนิ้วเพิ่มแรงบีบที่บีบอยู่บนคอของเธอ
ขวัญตาส่งเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดหนึ่งที และก็หลับตาลง กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น
ธีทัตหน้าเปลี่ยนทันที รีบมาด้านหน้าอยากจะดึงเธอมาที่ข้างกาย แต่ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะเดินได้สองก้าวก็ถูกบอดีการ์ดข้างๆ ควบคุมไว้
ในขณะที่เขากำลังดิ้นรนอยู่นั้น เสียงวีริศเชิงยิ้มไม่ยิ้มดังขึ้นอีกครั้ง “ขอเพียงแกรับปากว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของญาธิดา ฉันรับรองว่าไม่ปกป้องนารา และจะไม่ทำให้ขวัญตาลำบากอีก ข้อแลกเปลี่ยนนี้ไม่เสียเปรียบเลยสักนิด”
ดวงตาของธีทัตค่อยๆ ตกกระทบไปที่ตัวของขวัญตา เห็นท่าทางที่เจ็บปวดของเธอ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ผมสามารถรับปากเงื่อนไขของคุณ แต่คุณต้องรับรองเส้นทางของ JH Real Estate นั้นราบรื่น”
“ตกลง”
วีริศกล่าวจบก็สะบัดขวัญตาทิ้งอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง บอดีการ์ปฏิบัติตามเขาไม่ควบคุมขวัญตาอีก ปล่อยให้สองเท้าที่ไม่มีแรงคลานอยู่บนพื้น
ธีทัตเดินหน้ามาสองก้าวกอดเธอไว้ในอ้อมแขน มองวีริศด้วยสายตาที่เชือดเฉือน “อย่าลืมเรื่องที่คุณรับปากผม”
วีริศโบกมือด้วยความพอใจ ส่งสัญญาณสื่อให้เขาสามารถไปได้
ขวัญตาจับผ้าที่อยู่ตรงหน้าอกของเขา สีหน้าขาวซีดดูลนลาน “ทัต ขอร้องอย่ารับปากเขา”
ธิดาเป็นผู้หญิงที่ดี เธอผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนั้น เพิ่งจะมีความสุขได้ไม่กี่วัน ไม่สมควรจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมายเช่นนั้นอีก
ธีทัตเม้มปากไม่พูด อุ้มเธอแล้วเดินไปทางตำแหน่งของประตู เสียงเย็นชาของวีริศดังขึ้นตามหลังอย่างช้าๆ “ทางที่ดีดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดี ไม่เช่นนั้นไม่สามารถรับรองความปลอดภัยขเธอได้”
ฝีเท้าของเขาหยุดชะงัก แล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเช่นกัน “คุณพ่อจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”
เห็นแผ่นหลังของทั้งสองคนจากไป ใต้ดวงตาของนพเก้าก็ประกายความไม่พอใจ
เห็นได้ชัดเธอดูออกว่าใบหน้าของขวัญตาลนลานและเป็นห่วง ผู้หญิงคนนี้คือตัวหายนะ คนที่ยืนร่วมแนวรบเดียวกันกับญาธิดา เธอยืนกรานที่จะไม่เก็บไว้!
เธอเงยหน้ายิ้มเบาๆ ใต้ดวงตาเต็มไปด้วยแผนการ“ท่านคะ ผู้หญิงคนนี้เป็นระเบิดเวลาที่อยู่รอบตัวของคุณธีทัต ท่านไม่กลัวว่าเธอจะเป็นตัวอุปสรรคต่อแผนการของท่านเหรอคะ”
“เพราะอย่างไรก็เป็นลูกสะใภ้ในอนาคตของฉัน ฉันก็ไม่สามารถที่จะฆ่าทิ้งได้” วีริศยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบ แล้วตอบกลับอย่างเยือกเย็น
นพเก้าเข้าใจความหมายของเขาในทันที กดเสียงต่ำแล้วตอบกลับ “ท่านรักลูกชายนั้นฉันสามารถเข้าใจได้ แต่ว่าฉันไม่ได้สนิทกับผู้หญิงคนนี้……”
วีริศเงยหน้าขึ้นมองเธอครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างเย็นชา “นั่นเป็นเรื่องของเธอ เรื่องของวัยรุ่นฉันไม่อยากจะเข้าไปสอดแทรก”
รอยยิ้มอย่างดูแคลนใต้ดวงตาของนพเก้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้น “ลูกๆ ของญาธิดา ตอนนี้กำลังถ่ายโฆษณากันอยู่ ทางฝั่งแตงโมฉันได้เตรียมการไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าคนของคุณธีทัตจะสามารถเชื่อถือได้มากกว่าไหม”
วีริศได้ยินดังนั้นก็เปล่งเสียงฮึดฮัด
ขยะที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ล้มเหลว ตอนนี้ยังลากคนของเขาลงคลองไปด้วย เรื่องใหญ่จัดการได้งั้นๆ เรื่องหายนะนั้นเก่งนักเก่งหนา
เขาโบกมือแล้วกล่าวตอบกลับด้วยเสียงเคร่งขรึม “แผนการล้มเหลวยังมีครั้งหน้า สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ STN Group เท่านั้น เรื่องอื่นฉันไม่ใส่ใจ”
นพเก้าได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “งั้นฉันจะสั่งการแล้วนะคะ”
การถ่ายทำโฆษณายังเหลือฉากสุดท้าย นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอ…..
อีธานกับเอลล่ามีความคุ้นเคยกับหน้ากล้องแต่โดยกำเนิด การถ่ายทำโฆษณาจึงแทบจะไม่ต้องถ่ายทำซ้ำ และก็มีไม่ข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
ญาธิดายืดเส้นยืดสาย ขยับแข้งขยับขาครู่หนึ่ง แล้วมองไปทางพี่โอ๊ตจากนั้นกล่าว “อีกไม่นานอีธานกับเอลล่าจะเปิดเทอมแล้ว TIDA Studioก็มีงานที่ค้างไว้ไม่น้อย หลังจากการถ่ายโฆษณาครั้งนี้เสร็จสิ้นลงก็ไม่ต้องรับงานอีกแล้วนะคะ”
พี่โอ๊ตมองเธออย่างน้อยใจ แล้วตอบกลับอย่างไม่พอใจ “เธอจะทนเห็นพี่ไม่มีข้าวกินได้ลงคอเหรอ”
“พี่ไม่ใช่มีเพียงอีธานกับเอลล่าที่เป็นศิลปินสักหน่อย ยังมีคนอื่นงานอื่นที่ต้องดูแลไม่ใช่เหรอ คลังเงินคลังทองคงเต็มตั้งแต่แรกแล้วมั้ง ยังจะมาโอดครวญฟูมฟายว่าจนอีก”
เธอกลอกตามองบนอย่างหมดคำจะพูด
ในเวลานี้ช่างถ่ายรูปได้เรียกให้หยุด และแจ้งให้อีธานกับเอลล่าเปลี่ยนชุดเชตสุดท้ายเพื่อเตรียมถ่ายภาพ ทีมคอสตูมจึงรีบเข้ามาแล้วพาพวกเขาไปที่ห้องแต่งตัวทันที
สต๊าฟในสตูดิโอก็ใช้โอกาสนี้พักผ่อน บริเวณโดยรอบล้วนเป็นเสียงดังวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครกันที่จู่ๆ ได้กล่าวเตือนหนึ่งประโยคขึ้น “ทำไมนานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก”
ญาธิดาถึงนึกขึ้นได้ในทันใดว่าอีธานกับเอลล่าจากไปนานแล้ว ตามหลักชุดสุดท้ายน่าจะเปลี่ยนเสร็จแล้ว
เห็นสีหน้าเธอมีความลนลาน พี่โอ๊ตจึงคิดได้และรีบกล่าวปลอบโยนเธอ “เธออย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยวพี่จะไปด้านหลังดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดูว่าทำไมวันนี้ถึงได้ช้าเช่นนี้!”
“ฉันไปกับพี่”
ญาธิดาไม่รอให้คำพูดจบลง พนักงานก็ได้วิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวอย่างลนลาน และตะโกนขึ้น “เด็กน้อยทั้งสองคนหายไปแล้ว!”
ใบหน้าของเธอซีดเผือดทันที เดินมาด้านหน้าคว้าแขนของพนักงานไว้ แล้วสอบถามอย่างเสียงเข้ม “อะไรคือหายไปแล้ว! พวกคุณอยู่หลังเวทีตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ!”
พนักงานสีหน้าลนลานแล้วตอบกลับติดๆ ขัดๆ “ผู้ช่วยบอกว่าเสื้อผ้าไม่ค่อยเหมาะ จึงขอให้ฉันวัดเปลี่ยนขนาดของเอลล่าให้หน่อย พอฉันกลับไปหลังเวทีก็ไม่เห็นคนแล้ว”