ดวงใจภวินท์ - บทที่ 791 ตั้งใจเดินหาย
ได้ยินดังนั้นสีหน้าผู้ช่วยก็ดูแย่มาก และตอบกลับทันที “ฉันไม่ได้ไปด้านหลังเลย ฉันอยู่กับพี่ธิดาตลอดนะ”
“ไม่ใช่เธอ เป็นผู้คนหญิงคนใหม่อีกคน ที่บนคอห้อยป้ายพนักงานไว้” พนักงานพลางพูดพลางทำไม้ทำมือ เห็นได้ชัดเจนว่าพูดไม่ปะติดไม่ต่อสอดคล้องกัน
ดาราเด็กชื่อดังเดินหายไปในสตูดิโอของพวกเขาเอง หากเรื่องนี้แพร่กระจายไปยังโชเชียล น้ำลายปากต่อปากก็จะทำให้แบรนด์ธุรกิจเสียหาย
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กน้อยสองคนนี้ยังเป็นลูกของภวินท์ หากว่าเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ทุกคนต้องแบกรับผลที่ตามมา
ญาธิดารู้สึกแต่เพียงว่าคู่ขาอ่อนแรง ถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ คว้าแขนเสื้อของพี่โอ๊ตแล้วกล่าว: “พี่รีบให้คนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ดูสิว่าจะเจอเบาะแสอะไรได้บ้าง”
เธอกล่าวจบก็กำชับกับพนักงานว่า “รบกวนคุณไปเช็กหน่อยว่าผู้ช่วยที่พาอีธานกับเอลล่าไปคนนั้นหน่อย ฉันต้องการข้อมูลของเธอ”
ในหัวของญาธิดาผุดคำพูดที่ภวินท์เคยพูดกับเธอ รอบตัวเธอมีอันตรายที่ซ่อนอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่มีความสามารถในการสอดแนมสูง คิดอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลงมือกับเด็กน้อยสองคนนี้
เธอรีบโทรศัพท์ไปหาภวินท์ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “วิน อีธานกับเอลล่าหายตัวไปแล้ว……”
พี่โอ๊ตกับพนักงานกลับมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของทั้งคู่ดูแย่อย่างมาก
“ธิดา นี่ไม่ใช่เป็นการเดินหายธรรมดาหรือถูกลักพาตัวนะ ฝ่ายตรงข้ามรู้โครงสร้างของสตูดิโอเป็นอย่างดี ทุกย่างก้าวทั้งหมดล้วนเป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด ภาพสุดท้ายของกล้องวงจรปิด อีธานกับเอลล่าคือเดินออกไปเอง”
“พี่ธิดา พวกเรานับพนักงานที่มาทำงานในวันนี้ ในนี้ไม่มีผู้ช่วยคนนี้ ตัวตนนั้นเป็นตัวปลอม อีธานกับเอลล่า……”
พนักงานยังไม่ทันได้กล่าวจบ ญาธิดาก็รีบวิ่งไปที่ด้านหลังเวที
ในห้องที่บานหน้าต่างใส อีธานกับเอลล่าอยู่ด้วยกันอย่างเชื่อฟัง สองหนูน้อยกำลังกระซิบกระซาบกัน
“พี่ ทำไมพวกเราต้องตามน้าคนนั้นมาที่นี่ด้วย หากคุณแม่รู้ว่าพวกเราแอบออกมา จะต้องเป็นห่วงมากอย่างแน่นอน”
อีธานกุมมือของน้องสาวไว้ ใบหน้ารูปไข่ที่นุ่มนิ่มเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมที่เกินอายุ “พี่รับปากกับคุณพ่อ จะต้องปกป้องคุณแม่ ปกป้องเธอให้ดี ไม่ต้องกลัวนะ”
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ช่วยแม่แก้ปัญหาเรื่องตัวอย่างในTIDA Studio ก็รู้สึกว่ารอบตัวของคุณแม่มีแต่อันตรายซุกซ่อนอยู่
เขาขอให้ลุงจรณ์แอบไปสืบมาตั้งนาน ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ วันนี้คนโง่บางคนจงใจเอาเบาะแสมาวางตรงหน้า เขาย่อมต้องทำตามเพื่อสืบให้กระจ่างอย่างแน่นอน
ลุงจรณ์เคยพูดหนึ่งประโยคว่า “ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร” คงน่าจะเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้
บนใบหน้าของเอลล่าพกด้วยรอยยิ้มหวาน อิงแอบอยู่ที่ข้างกายเขา แล้วตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “เอลล่าไม่กลัวหรอก หนูอยากปกป้องคุณแม่กับพี่”
ในระหว่างที่พวกเขาคุยกัน จู่ๆ ประตูก็ได้เปิดออก สีหน้าของแตงโมเคร่งขรึมมองดูเด็กน้อยที่เชื่อฟังอยู่บนเตียง จึงอดไม่ได้ที่จะกระแอมขึ้น “พวกหนูสองคนอยู่กันได้อย่างสบายใจเชียวนะ ไม่กลัวว่าฉันจะทำอะไรพวกหนูเหรอ”
“น้าไม่ใช่คนเลวสักหน่อย ทำไมพวกหนูจะต้องกลัวด้วยล่ะครับ”
อีธานเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา “น้าพาพวกหนูมาที่นี่ก็เพื่อจะขู่คุณแม่ของพวกหนูเท่านั้น แต่น้าไม่ได้ทำร้ายพวกหนู ก็แปลได้ว่าน้าไม่กล้า”
สีหน้าของแตงโมเปลี่ยนเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงจ้องมองมาทางเขาและกล่าวถามทันที “หนูรู้ทั้งรู้ว่าน้าตั้งใจหลอกหนู ทำไมยังเต็มใจที่จะมากับน้าล่ะ”
“เพราะว่ามีเพียงผมตามน้ามา พ่อแม่ของพวกหนูถึงจะสามารถตามสืบเบาะแสของคนที่จ้างน้าได้”
อีธานเอียงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอยู่ยิ่งกว้าง ดูแล้วไร้เดียงสาน่ารักมาก แม้แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์
ใบหน้าของแตงโมยิ่งอยู่ยิ่งดูแย่ อีธานกลับยังคงเล่นนิ้วมือ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่ราบรื่น ลูกไม้ของน้ายิ่งเยอะ ก็ยิ่งทิ้งพิรุธได้ง่าย”
“พวกหนูคิดว่าญาธิดามีปัญหาพวกหนูเจอเหรอ” เธอยิ้มเยาะอย่างดูถูก “หากมีปัญญาจริงก็หาเจอตั้งนานแล้ว ทำไมต้องใช้ลูกของตัวเองมาเป็นเหยื่อด้วย”
อีธานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เชิดคางขึ้นมองเธอ แล้วตอบกลับอย่างมั่นใจ “เห็นทีน้าก็เป็นคนโง่เขลาคนหนึ่ง!”
“ผมไม่ได้ตาบอดสักหน่อย น้ามายืนโด่อยู่ตรงหน้าผม ก็คือจะบอกให้ผมจำหน้าตาของน้าไว้ ขอเพียงผมกลับไปสืบหาน้า ก็สามารถสืบได้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังของน้าแล้ว”
แตงโมมองดูเด็กตรงหน้าที่อายุไม่น่าเกินห้าหกขวบ ในใจมีผุดความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของเขา
สายตาของเขามองออกไปทางนอกหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ของตึกรามที่สูงตระหง่าน แล้วก็เอ่ยปากเบาๆ อีกครั้ง
“ถึงแม้ว่าหนูจะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่หนูก็จำวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน กลับไปแค่สืบหาก็รู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ต่อให้น้าจะมีความสามารถเพียงใดก็ไม่สามารถหลบกล้องวงจรปิดได้หรอก สืบข้อมูลของน้าง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก”
แตงโมได้ยินดังนั้นก็หยิบมีดที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมาแล้วเดินทีละก้าวเข้าไปใกล้เขาทันที จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน “ในเมื่อหนูพูดเช่นนี้ งั้นน้าก็จะเก็บหนูไว้ไม่ได้แล้ว”
อีธานมองดูฝีเท้าของเธอก้าวเข้ามาหาตัวเองอย่างใจเย็น สีหน้าไม่เพียงแต่ไม่ตระหนกตกใจกลัวแต่อย่างใด กลับยังเผยรอยยิ้มที่น่ารักไร้เดียงสาออกมา
รอยยิ้มแบบนี้ยิ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาของแตงโมก็ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว ฝีเท้าของเธอชะงักหยุดอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นถามเบาๆ “หนูไม่กลัวจริงเหรอ”
“น้าไม่กล้าทำร้ายหนูสักหน่อย ทำไมหนูต้องกลัว” เขาตอบอย่างเฉยเมย “หากว่าน้ากล้าลงมือกับหนูจริงๆ หนูก็คงไม่สามารถมานั่งอยู่ตรงนี้คุยกับน้าได้หรอก”
แตงโมโยนมีดที่อยู่ในมือทิ้งลงบนเตียง แล้วถอนหายใจอย่างอธิบายไม่ถูก และบนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ในสมองของเธอผุดภาพที่คุ้นเคยขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้”
เมื่อสองสามเดือนก่อนในวันส่งท้ายปีเก่า เนื่องด้วยคุณแม่ของเธอป่วยด้วยโรคหัวใจแล้วเข้ารักษาเพื่อผ่าตัดที่โรงพยาบาลสงฆ์กะทันหัน บนตัวของเธอมีเงินไม่เพียงพอในการจ่ายพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไปถอนก็ไม่ทัน
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังนั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เมื่อรู้สถานการณ์ของเธอแล้วก็รีบช่วยจ่ายเงินแทนเธอ ช่วยบรรเทาความฉุกเฉินให้กับเธอ คุณแม่จึงดำเนินการผ่าตัดได้อย่างราบรื่นด้วยเงินก้อนนี้
ต่อมาตอนที่เธอตามหาผู้หญิงคนนี้นั้น ได้รู้จักกับชมพู่ผู้ป่วยพิเศษที่อยู่ในห้องผู้ป่วย ถึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้หญิงที่ออกเงินค่ารักษาคือนพเก้า ศัตรูคู่ปรับตลอดมาของ——ญาธิดา
โชคดีที่เป้าหมายของนพเก้าคือต้องการใช้อีธานกับเอลล่าเพื่อข่มขู่ญาธิดาเท่านั้น ภายใต้เด็กสองคนที่ยังมีประโยชน์อยู่ ยังคงไม่สั่งเธอให้ลงมือกับเด็กชั่วคราว
วันนี้ต่อให้นพเก้าจะสั่งให้เธอลงมืออีธานกับเอลล่า เธอก็จะไม่ลังเลใจที่จะเลือกปกป้องเด็กสองคนนี้
ลูกๆ ของญาธิดาช่างเหมือนกับ……
อีธานเอียงหน้ามามองมุมปากของแตงโมที่ยกขึ้น ในใจจึงสับสนงุนงง “น้าไม่ดูเหมือนคนเลวเลย ทำไมต้องทำเรื่องที่สู้หน้าคนไม่ได้แบบนี้ด้วย”
แตงโมได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ชี้ไปที่ตำแหน่งประตู แล้วกล่าวเบาๆ “พวกหนูไปเถอะ”
“ไม่จับพวกหนูแล้วเหรอ” เอลล่าก็ถามด้วยความสงสัย
แตงโมมองไปทางพวกเขาแล้วเผลอยิ้ม “ต่อให้ฉันไม่ปล่อยพวกหนูไป พวกหนูก็หาวิธีหนีไปเองได้ งั้นก็สู้เป็นคนดีสักครั้งตามอย่างที่พวกหนูพูด”