ดวงใจภวินท์ - บทที่ 813 ชดเชยวันเกิด
“เกี่ยวอะไรกับฉัน” เธอสำลักด้วยความโกรธ เหลือบมองเขาแล้วถามกลับ “คุณคิดจะอธิบายให้ฉันฟังเหรอ?”
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเดินไปที่โต๊ะข้างๆ แล้วโยนรูปถ่ายที่เขาเก็บไว้เมื่อกี้ลงบนโต๊ะ และพูดเยาะเย้ย “ใครต้องอธิบายให้ใครฟัง?”
ดวงตาของเธอจ้องไปที่รูปภาพ ความโกรธบนใบหน้าของเธอก็หายไปในทันที และแปลเปลี่ยนเป็นหน้าซีดเธอต้องการบอกภวินท์ว่าความจริงไม่ใช่อย่างที่อยู่ในภาพ เธอปฏิเสธนิธิศไปอย่างเด็ดขาดและมีเหตุผล
แต่รูปถ่ายไม่ใช่วิดีโอ มันไม่มีบทสนทนาระหว่างเธอกับนิธิศให้ได้ยิน
คำอธิบายทั้งหมดนั้นติดอยู่ในลำคอของเธอ เมื่อกี้เธอเพิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่ตาเห็นใช่ว่าเป็นเรื่องปลอมเสมอไป” แต่เธอไม่คิดว่าจะเข้าตัวเธอเร็วขนาดนี้
“ฉันปฏิเสธนิธิศไป” คำอธิบายของเธอฟังดูขาดความมั่นใจไปเล็กน้อย
ภวินท์พยายามพูดออกมาจากลำคอ ถือว่าเป็นการตอบสนองต่อคำอธิบายของเธอ เขาพูดขึ้นช้าๆว่า “ญาธิดา นิสัยบางอย่างของคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”
เขาจงใจเน้นคำว่า”บางอย่าง” ใบหน้าของญาธิดาซีดลงเรื่อยๆ เธอถอยกลับไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว และจ้องมองเขาด้วยความไม่เชื่อ
“คุณสงสัยว่า ฉันกับนิธิศมีอะไรกันจริงๆ?” เสียงของเธอมีการสั่นเล็กน้อย “ฉันไปพบเขาเพราะต้นกล้า วันนี้เป็นวันเกิดของต้นกล้า”
“ในรูปภาพนี้ดูไม่เหมือนเลย” มือเรียวยาวของภวินท์หยิบรูปหนึ่งขึ้นมา แล้วส่งต่อให้เธอ “ถ้ามันเป็นเพียงวันเกิดจริงๆ ทำไมคุณต้องปิดบังผมล่ะ”
คนสองคนในภาพ เหมือนเป็นการเดทมากกว่า และมีความรู้สึกว่านิธิศเหมือนต้องการขอแต่งงานด้วย ไม่ว่าจะมองมันอย่างไร ก็ไม่เหมือนฉลองวันเกิดให้เด็ก
ญาธิดาพูดไม่ออกชั่วขณะ ความรู้สึกเศร้าค่อยๆเอ่อล้นและกระจายไปทั่วร่างกาย ดวงตาของเธอแห้งจนไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
“ตอนนี้สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจระหว่างผมกับนพเก้าได้หรือยัง?” เสียงเรียบนิ่งของเขาดังขึ้นทันที
สายตาของญาธิดาจ้องมองไปยังเขา และทันใดนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง
ที่แท้ภวินท์สงสัยเธอตั้งแต่เห็นภาพนั้นแล้ว แต่เขาเก็บมันไว้ในใจและไม่พูดถึงมัน แต่ตอนนี้เขาหยิบภาพออกมาและถามเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อต้องการโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับเธอ
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และตอบอย่างทื่อๆ “ในเมื่อพวกเราต่างมีข้อสรุปในใจของตัวเอง งั้นก็ถือว่าเสมอกันแล้ว”
เมื่อเห็นหลังของเธอวิ่งออกไปที่ประตู ภวินท์รู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาอดไม่ได้ที่จะดึงเนกไทออก และยัดรูปถ่ายทั้งหมดลงในเครื่องทำลายเอกสารแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ
แม้เขาจะไม่ได้ยินเนื้อหาการแอบฟังของอีธาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อญาธิดา เขาแค่หงุดหงิดว่า ทำไมญาธิดาต้องปิดบังเขาเรื่องที่ไปเจอนิธิศ
ใบหน้าอ่อนหวานของเด็กสองคนยื่นออกมาจากประตูห้องนั่งเล่น เอลล่าดึงชายเสื้อของพี่ชายเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะทะเลาะกันนะ”
ดวงตาที่สดใสของอีธานเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็กระซิบคำสองสามคำที่ข้างหูของเธอ ดวงตาของเธอเป็นประกาย และเธอก็วิ่งไล่ตามญาธิดาไปในทันที
ในทางกลับกันอีธานดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ เดินช้าๆไปที่ด้านข้างของภวินท์ แล้วพูดขึ้นว่า “แม่โกรธแล้วพ่อคงจะมีความสุขมากนะครับ”
เมื่อเห็นลูกชายของเขาแสร้งทำเป็นเป็นผู้ใหญ่ ภวินท์ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้
ญาธิดาโกรธเมื่อเห็นเขาและนพเก้าอยู่ด้วยกัน ก็แสดงว่าเธอหึง พูดง่ายๆคือ สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขเล็กน้อย
เมื่อเห็นการแสดงออกของเขา ในใจของอีธานก็รู้ทันที และหยุดพูดถึงหัวข้อนี้ แต่ถามอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ทำไมพ่อไม่บอกความจริงกับแม่ล่ะ?”
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร” เสียงของภวินท์ต่ำลง
อีธานอยากจะกลอกตาใส่เขา แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงทำได้เพียงระงับการบ่นในใจของเขา และพูดพึมพำด้วยเสียงต่ำๆว่า “ระวังจะสูญเสียภรรยาในไม่ช้าก็เร็วนะครับ”
ในเวลาเดียวกัน เสียงเล็กของเอลล่าก็ดังขึ้นในห้องนอนใหญ่ชั้นบน “คุณแม่มีสิทธิ์ที่จะสงสัยพ่อ และแน่นอนว่าคุณพ่อก็มีสิทธิ์ที่จะสงสัยคุณแม่ด้วยนะคะ”
“……”
ญาธิดาอยู่ในสภาวะที่สับสนวุ่นวาย ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เอลล่าพูดเลย แม้ว่าเอลล่าจะปลอบโยนเธอด้วยการพูดคุยเป็นเวลานานก็ตาม
เอลล่ายกปากเล็กๆขึ้น แล้วปีนขึ้นไปบนร่างกายของเธอด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง “คุณแม่รู้สึกว่าตัวเองมีความซื่อสัตย์ที่ชัดเจน แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่มีจิตสำนึกที่ชัดเจนล่ะคะ?”
“……”
ภายในห้องยังคงเงียบ แต่ดวงตาที่หมองคล้ำของญาธิดาก็ขยับ เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจ
เอลล่าอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ดูนุ่มนวลและน่ารักมาก แต่เสียงของเธอเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “ต้นกล้าน่าจะมีความสุขมากนะคะ ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของความเป็นครอบครัวในงานวันเกิด ตอนที่พี่กับหนูฉลองวันเกิดมีแค่ครอบครัวฝ่ายเดียว”
อันที่จริง วันเกิดของอีธานและเอลล่าอยู่ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดสำหรับพ่อในนามอย่างธีทัต ดังนั้น ตอนที่เธออยู่อเมริกา เธอจึงอยู่กับลูกๆในวันเกิดของพวกเขาเพียงลำพัง
เมื่อได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญเบาๆของเด็กหญิงตัวน้อย เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เพิ่งจะเดือนมีนาคม และห่างจากวันเกิดของเด็กทั้งสองเป็นเวลาหนึ่งเดือน
เอลล่าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเล็กๆเงยขึ้นมองด้วยความคาดหวัง “คุณแม่คะ ทำไมไม่ฉลองชดเชยวันเกิดให้พี่กับหนูล่ะคะ?”
ฉลองชดเชย? ญาธิดาตกตะลึง และตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
เอลล่าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้พี่กับหนูถูกมองว่าเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นคนที่มีแฟนคลับแล้ว เราอาจจะต้องจัดงานเลี้ยงวันเกิดครั้งใหญ่ และเรายังต้องเตรียมของสำหรับงานเลี้ยงด้วย ดังนั้น เราก็จะไม่มีโอกาสฉลองวันเกิดกับคุณพ่อคุณแม่แล้วนะคะ”
เมื่อญาธิดาได้ยินคำเหล่านี้ ใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มที่หายากเผยออกมา เธอเกาปลายจมูกอันเยือกเย็นของเธอเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใครสอนคำเหล่านี้ให้ลูกเนี่ย?”
ดวงตากลมโตราวกับองุ่นของเอลล่ากลอกเป็นวงกลม ยืดคอแล้วพูดอย่างเคอะเขินว่า “แน่นอนว่าเป็น……”
เมื่อมองไปยังญาธิดาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย เธอกลืนน้ำลายและตอบด้วยความตื่นตระหนก “โอเคค่ะคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่พี่ชายพูดค่ะ”
ญาธิดากอดเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนแน่น และในน้ำเสียงก็มีความเอ็นดูปนอยู่ “สิ่งที่หนูและพี่ชายพูดนั้นสมเหตุสมผล งั้นก็ทำตามที่หนูบอกแล้วกัน”
แค่ไม่รู้ว่าทางภวินท์……
“จริงเหรอคะ?” เอลล่าพยุงตัวเองขึ้นจากอ้อมแขน ใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ภารกิจของหนูเสร็จแล้ว ไปดูสิว่าพี่ชายของหนูเป็นอย่างไรบ้าง”
หลังพูดจบก็วิ่งออกจากห้องไป
จากนั้นญาธิดาถึงจะได้สติและตระหนักได้ว่า อีธานกับเอลล่ากำลังพยายามบรรเทาความสัมพันธ์ระหว่างเธอและภวินท์
ในเวลาเดียวกัน คำพูดโน้มน้าวใจครั้งก่อนของเอลล่าผุดออกมาในหัวของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว และรอยยิ้มในดวงตาของเธอก็ชัดเจนขึ้น
เด็กน้อยสองคนพูดคุยกันแล้ว และรู้สึกว่าวันเกิดปีนี้อยากจะจัดที่บ้านมากกว่า การให้ป้าจันทร์ทำอาหารอร่อยๆให้นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา
ภวินท์อยู่ในห้องทำงานตลอดทั้งคืน ทำให้ญาธิดานอนไม่ค่อยหลับ
ภายใต้การใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุดของอีธานและเอลล่า เธอพาลูกสองคนไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกของขวัญวันเกิดด้วยท่าทีที่งัวเงีย