ดวงใจภวินท์ - บทที่ 825 นักสู้ผู้ไร้ฝีมือ
บทที่ 825 นักสู้ผู้ไร้ฝีมือ
ไม่กี่วันต่อมา อลิสานัดญาธิดามาเจอที่ห้องส่วนตัวที่ Rambler Clubhouse
ส่วนญาธิดากำลังถูกบีบบังคับให้ “เรียนรู้” ผูกเนกไทให้ภวินท์ นิ้วมือเรียวยาวเคลื่อนไปมาอยู่บนผ้าไหมรื่น เสียงไม่พอใจของเขาก็ดังอยู่ข้างหูของเธอไม่หยุด
“ปมมันใหญ่ไป…”
“รอยพับตรงกลางยับ ยังไม่เรียบ…”
“เนกไทเส้นนี้ยับแล้วเปลี่ยนเป็นสีกรมเส้นนั้นแล้วกัน…”
อลิสาที่อยู่ในสายโทรศัพท์ระเบิดอารมณ์ใส่ทันที “ญาธิดาเธอฟังที่ฉันพูดอยู่ไหมเนี่ย!”
เมื่อเธอได้ยินเสียงก็รีบขานรับและจัดการเรื่องของอลิสาเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบเนกไทออกมาจากตู้อีกเส้นและผูกไว้รอบคอของเขาอย่างระแวดระวัง ยังไม่ทันจะได้ติดคลิปหนีบเนกไทก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างหูของเธออีกครั้ง
“อันนี้…”
“เงียบ!” เธอถลึงตาใส่ภวินท์อย่างเคือง ๆ แม้ว่าจะหงุดหงิดกับคำพูดของเขา แต่การแสดงสีหน้ากลับดูจริงจังและทำทุกขั้นตอนอย่างระวังและละเอียดลออ
แสงแดดสีทองยามเช้าส่องกระทบบนขนตางอนยาวของเธอ สะท้อนแสงอบอุ่นซึ่งมันทำให้เธอดูอ่อนโยนมาก
ภวินท์หรี่ตาลงมองเธอก่อนที่ลูกคอจะขยับขึ้นลงเล็กน้อยคล้ายกำลังพยายามระงับอะไรบางอย่างเอาไว้
ญาธิดานึกว่าเขากำลังจะแสดงความคิดเห็นที่ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์อะไรออกมาอีกเลยรีบพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันไม่ได้ผูกเนกไทครั้งแรกซะหน่อย คุณมันจู้จี้จุกจิก!”
“อืม” เมื่อได้ยินแบบนั้นแววตาเขาก็เปลี่ยนเป็นนึกสนุกก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ดูเหมือนว่าคุณจะฝึกกับคนอื่นมาหลายครั้งเลยสินะ”
“ใครบอกว่าฉัน…”
ยังไม่ทันที่เธอจะอธิบาย มืออ่อนนุ่มนิ่มของเธอก็ถูกรวบเข้าไปไว้ในฝ่ามือหนา ๆ ของเขาแล้ว ลมหายใจแรง ๆ เข้าห้อมล้อมเธอทันที เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวจนแผนหลังชิดกับประตูตู้เสื้อผ้าเย็นเฉียบ
กลิ่นหอมเย็นโชยเข้าจมูกใบหน้าคมเข้มของภวินท์เคลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเย็นเฉียบเฉียดผ่านขมับไปหยุดที่ข้างหูของเธอ
ลมหายใจอุ่น ๆ แผ่ซ่านอยู่บริเวณใบหูของญาธิดา เธอหดคอลงเล็กน้อย ก่อนที่เสียงไร้อารมณ์ของเขาจะดังก้องเข้ามาในหู “คุณครูคนก่อนของเธอไม่ได้เรื่องเลยนะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด”
ภวินท์จับจุดอ่อนไหวของเธอได้อย่างแม่นยำ แค่ลมหายใจแผ่วเบาก็ทำเอาเธอหายใจแทบไม่ออกแล้ว
เธอรีบยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะหน้าอกของภวินท์ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้ราวกับเสียงแมลง “ตอนที่อีธานถ่ายโฆษณาฉันช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้เขาบ่อย ๆ ดังนั้นจะผูกเนกไทได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“อาจารย์ฝีมือไม่ดีพอจริง ๆ ด้วย” เขาพูดพลางปล่อยญาธิดาก่อนจะจัดการผูกเนกไทให้เรียบร้อย “เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจเรียนใหม่นะ”
ญาธิดานึกถึงเรื่องที่ต้องสู้รบกับเนกไททุกวันหลังจากนี้ถึงกับหน้าหงอยไปทันที
พระเจ้ารู้ดีว่าฝีมือและความสามารถของเธอมันห่วยแตกแค่ไหน
ไม่ใช่แค่เรื่องเกือบจะระเบิดห้องครัว แต่ยังมีประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาในห้องหนังสือที่เธอคิดว่าเหมือนจริงสุด ๆ หรือความสามารถในการวาดภาพ ความสามารถในการผูกโบของเธอ ล้วนแต่เป็นนักสู้ผู้ไร้ฝีมือทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างทั้งนั้น
การผูกเชือกรองเท้าดูเหมือนจะเป็นความสามารถและผลงานที่เธอถนัดที่สุดแล้ว
เมื่อสองสามปีก่อนตอนอยู่ที่อเมริกาก็เป็นเพราะสิบนิ้วของเธอนี่แหละ เธอถึงได้ถูกย้ายจากชั้นเรียนวาดภาพแอนิเมชั่นไปอยู่ชั้นเรียนผู้กำกับแอนิเมชั่นแทน
ญาธิดายิ่งคิดก็ยิ่งอายรีบวิ่งไล่ตามเขาลงไปชั้นล่างอยากจะพยายามเกลี้ยกล่อม “ขอชีวิต” จากภวินท์ แต่ทว่าเขาออกจากบ้านพักไปพร้อมกับอาหารเช้าแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา
ยิ่งรู้แบบนั้นเธอก็ได้แต่ก้มหน้าคอตกราวกับคนขาดพลังงานหมดเรี่ยวหมดแรง แม้แต่ตอนโทรไปหานิธิศน้ำเสียงก็ยังฟังดูไม่ค่อยสุขใจเท่าไหร่นัก
เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังจะพาต้นกล้าไปรับการรักษานิธิศก็ตอบตกลงทันทีและพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ธิดา น้ำเสียงคุณฟังดูไม่ค่อยสบายเลยนะ ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ?”
ญาธิดาไม่ได้ตอบคำถามของเขาและยังคงพูดเรื่องที่ตัวเองพูดต่อไปว่า “เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปรับต้นกล้าข้างล่างนะคะ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง”
นิธิศเหลือบมองต้นกล้าที่กำลังนิ่งเป็นหุ่นเชิด รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคุณนะ”
เมื่อญาธิดาไปถึงก็พบว่าสองพ่อลูกแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาตั้งใจจะออกไปด้วยกัน
“อีธานกับเอลล่าก็อยู่ข้างล่างด้วยเหมือนกัน รถของฉันคงนั่งกันไม่พอ ฉะนั้น…”
นิธิศสวมรองเท้าให้ต้นกล้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้นเขาจึงเปลี่ยนกุญแจรถอีกคันตรงข้างประตูทางเข้าทันที “พอดีมีรถส่วนตัวเจ็ดที่นั่งจอดอยู่ในโรงรถชั้นใต้ดินพอดี”
เขายื่นกุญแจรถให้ญาธิดา แต่ธิดากลับไม่รับและตอบกลับเขาอย่างห่างเหินว่า “คุณหมออลิสารักษาแบบตัวต่อตัวมาตลอด คุณไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ค่ะ”
เมื่อนิธิศได้ยินดังนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เขาเหลือบมองต้นกล้าด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ถ้าอย่างนั้นฝากต้นกล้าด้วยนะครับ”
แววตาของต้นกล้ายังคงตกอยู่ในความว่างเปล่า หันมองไปทางเธอด้วยสายตาแข็งทื่อและโฟกัสไม่ได้ ราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนยังไงอย่างนั้น และยังกอดต้นขาของนิธิศไว้แน่น
ญาธิดาขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีก่อนจะย่อตัวนั่งลงมองต้นกล้าและเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างแผ่วเบา
หลังจากขานเรียกซ้ำ ๆ หลายครั้งต้นกล้าก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างขึ้นได้และไม่ต่อต้านที่จะสื่อสารกับเธออีกต่อไป ก่อนจะซุกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
เธอกอดเด็กน้อยตัวอ่อนนุ่ม น้ำเสียงของเธอฟังดูเย็นชาเล็กน้อยก่อนจะหันมองไปทางนิธิศแล้วถามว่า “แค่เวลาสั้น ๆ ไม่กี่วันทำไมต้นกล้าถึงกลายเป็นแบบนี้คะ?”
นิธิศสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้ดูตกใจอะไร ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ทุกครั้งหลังจากที่ต้นกล้าเข้ารับการบำบัดจิตก็จะกลายเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เพราะแบบนี้ผมเลยหาคุณหมอที่เหมาะสมให้เขาไม่ได้สักที ผมนึกว่าคุณหมออลิสาจะแตกต่างจากคุณหมอคนอื่น ๆ คิดไม่ถึง…”
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง? สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปล่าไปของเธอซึ่งมันทำให้เด็กน้อยในอ้อมแขนเริ่มไม่สบายใจ เอาแต่ส่งเสียงพูดพล่ามไม่หยุด พลางใช้มือเล็ก ๆ ปัดป่ายหาตำแหน่งของนิธิศ
“คุณพ่อครับ…กอด…”
น้ำเสียงไร้เดียงสาดังก้องอยู่ข้างหูของเธอ ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงทันที และความคิดที่แน่วแน่เมื่อครู่นี้ก็เริ่มสั่นคลอนไปด้วย
เมื่อเห็นสองพ่อลูกมองหน้ากันเธอจึงส่งต้นกล้าไปไว้ในอ้อมแขนของนิธิศ แต่ก็ไม่ได้รับกุญแจรถที่เขายื่นมาให้ เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “วันนี้ฉันจะช่วยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ เอาเป็นว่าคุณพาต้นกล้าขับตามไปก็แล้วกันค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ก่อนจะปลอบโยนต้นกล้าให้สงบลงอย่างอดทน ก่อนจะลงไปที่ที่จอดรถใต้ดิน เมื่อขับรถออกมาข้างทางก็เห็นรถของญาธิดากำลังจอดรออยู่ตรงทางแยก
รถทั้งสองคันขับตามกันไปยัง Rambler Clubhouse ที่นี่ปิดทำการตอนกลางวันแต่ก็ยังมีพนักงานประจำเฝ้าอยู่ตลอด เมื่อเห็นนิธิศพนักงานก็เข้าไปขวางเขาไว้ด้านนอกประตูทันที
“คุณญาธิดาครับ ที่นี่บุคคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในช่วงนอกเวลาทำการ นี่เป็นกฎของร้านเรา หวังว่าคุณจะไม่ทำให้พวกเราลำบากใจนะครับ”
ญาธิดาเหมือนจะคิดเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วเธอก็ไม่คิดจะพูดแทนเขาด้วย
ยิ่งเธออยู่ใกล้ชิดกับนิธิศมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความรู้สึกถูกกดขี่บางอย่างเสมอ ซึ่งมันแตกต่างไปจากความรู้สึกถูกบีบบังคับที่ภวินท์มอบให้เธอโดยสิ้นเชิง
ถ้าไม่ใช่เพื่อรักษาต้นกล้าให้หายเป็นปกติ เธอคงไม่ยินยอมใกล้ชิดกับเขาแน่นอน และไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดใจแบบนี้แน่นอน
นิธิศไม่โกรธและพูดปลอบโยนต้นกล้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณแม่จะพาลูกไปเจอเพื่อนสนิทของแม่ พ่อไม่สะดวกจะเข้าไปด้วย ลูกอย่าสร้างปัญหาให้แม่เด็ดขาดเข้าใจไหม?”
ครั้งนี้ต้นกล้าตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าตอบรับไม่หยุด