ดวงใจภวินท์ - บทที่ 826 คำพูดเรียกสติ
นิธิศลูกศีรษะเด็กน้อยอย่างพอใจ ก่อนจะเอามืออ่อนระทวยของเด็กน้อยยัดเข้าไปในฝ่ามือของญาธิดา
เมื่ออลิสาได้เห็นต้นกล้าอีกครั้งสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที การบำบัดจิตกินเวลาเต็ม ๆ กว่าสี่ชั่วโมง แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่ากับครั้งที่แล้ว เขาเพียงแค่ไม่ต่อต้านที่จะสื่อสารกับคนอื่นแต่ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับใคร
อารมณ์ของเขาดูไม่มั่นคงเอามาก ๆ ระหว่างการรักษายังมีช่วงที่เขาประหม่ามากจนฉี่ราดกางเกง ญาธิดาทำได้เพียงแค่เปลี่ยนกางเกงที่อีธานซื้อมาใหม่ใส่ให้แทนไปก่อน
“ยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ?” ญาธิดาทำหน้าผิดหวัง
อลิสากระซิบอีธานกับเอลล่าให้พาต้นกล้าออกไปเล่นข้างนอกก่อน
ภายในห้องส่วนตัวเหลือเพียงหญิงสาวสองคน เธอมองญาธิดาด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอบอกว่าทุกครั้งหลังจากที่ต้นกล้าเข้ารับการรักษาไม่ใช่แค่อาการไม่ดีขึ้น แถมยังแย่ลงยิ่งกว่าเดิมทุกครั้ง?”
“คุณนิดบอกแบบนั้น” น้ำเสียงของญาธิดาฟังดูไม่มั่นใจ แต่ยังไงเธอก็ไม่ใช่แพทย์มืออาชีพ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าปฏิเสธ
อลิสาครุ่นคิดก่อนจะค่อย ๆ จับมือเธอไว้แล้วย้ำกับเธอทีละคำว่า “ธิดา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีประสบการณ์ทางคลินิก แต่ฉันสามารถใช้การศึกษาตลอดหลายปีของฉันรับประกันได้เลยว่าตอนนี้ทั้งในและต่างประเทศยังไม่เคยมีอาการป่วยแบบนี้มาก่อน”
“เธอหมายถึง…” ความเย็นยะเยือกคืบคลานเข้ามาในใจของเธอ
งานวิจัยด้านการแพทย์ของอลิสานั้นไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน การที่เธอลงความเห็นแบบนี้ แสดงว่าข้อสงสัยในเรื่องนี้เธอมั่นใจแล้วแปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
ทำไมนิธิศต้องจงใจทำร้ายลูกชายของตัวเอง การที่อาการป่วยของต้นกล้าแย่ลงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันมีผลดีอะไรต่อเขา?
เธอเองก็เป็นแม่คน เธอคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าคนเป็นพ่อแม่จะโหดเหี้ยมพอที่จะทำร้ายลูกของตัวเองได้
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้คืการเป็นพ่อแม่คนไม่ต้องผ่านการสอบนี่แหละ เมื่อความปรารถนาของบุคคลนั้นมีมากกว่าคุณธรรมศีลธรรม เขาก็จะกลายเป็นปีศาจที่ร้ายกาจทันที”
ริมฝีปากสีแดงเชอรี่ของอลิสาพูดขึ้น เธอจิบน้ำผลไม้บนโต๊ะ ก่อนจะพูดเตือนสติเธอว่า “ไม่ใช่ว่าฉันจะมองอะไรไม่ออกนะ เพราะเขาก็ไม่ได้บิดบังความทะเยอทะยานที่อยากจะได้เธอใจจะขาด มันชัดเจนจนใคร ๆ เขาก็มองออกทั้งนั้น”
ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอที่มองออก แม้แต่อีธานกับเอลล่าก็มองออกเหมือนกัน ขนาดต้นกล้ายังมองออกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ IQ ทำงานตลอดเวลาอย่างภวินท์เลย
“ฉันคิดว่าฉันพูดชัดเจนและตรงไปตรงมามากพอแล้วนะ” น้ำเสียงของญาธิดาปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
อลิสามองเธอเหมือนมองคนโง่ ถึงขนาดออกแรงบิดที่ขาของเธออย่างแรงพยายามทำให้เธอได้สติ
“กับลูกแท้ ๆ เขายังลงมือได้ถึงขนาดนี้ แต่เธอกลับไปถามหาเหตุผลจากคนสมองผิดปกติแบบเขา ถ้าใจเขารู้จักผิดชอบชั่วดี เขาก็ควรจะรู้จักหลีกเลี่ยงผู้หญิงที่มีสามีแล้วสิ แต่ไม่ใช่การรอให้เธอปฏิเสธเขาอย่างเปิดเผยแบบนี้”
คำพูดของอลิสาเหมือนน้ำเย็น ๆ ราดลงบนศีรษะของญาธิดา มันช่วยดึงสติและทำให้เธอสงบลงทันที เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ยิ่งขุดหาลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หวาดกลัวมากเท่านั้น
ยิ่งเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของเธอสีหน้าของอลิสายิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นเมื่อเธอเอ่ยปากพูดอีกครั้งวิธีการพูดของเธอจึงใช้ไหวพริบมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่ก็เป็นแค่การสันนิษฐานของฉันเท่านั้น เพราะยังไงฉันก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เธอลองคิดหาวิธีสืบดูเองแล้วกัน เพราะนิธิศคนนี้…”
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง พลางเหลือบมองปฏิกิริยาของญาธิดาอย่างระมัดระวัง และพูดอย่างไม่มั่นใจ “ฉันมองไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่”
“แม้แต่เธอยังมองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออกเลยเหรอ?” ญาธิดาตกใจมาก
ในสถานการณ์แบบนี้แต่อลิสาก็ยังอดกลอกตาใส่เธอไปทีไม่ได้ ก่อนจะพูดอธิบายอย่างจนปัญญา “ฉันเป็นแค่จิตแพทย์นะไม่ใช่หุ่นยนต์ แล้วฉันก็ไม่มีเทคโนโลยีหรือความสามารถในการอ่านใจคนด้วย
การเคลื่อนไหวและการแสดงออกเพียงเล็กน้อยสามารถสะท้อนจิตใจของคนคนหนึ่งได้ และมันสามารถชี้ทิศทางในการวิเคราะห์ให้ฉันได้
ฉันมองไม่เห็นสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดซึ่งมันสามารถแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่หนักแน่นในความคิดมาก และไม่มีการแสดงพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ แถมยังเก่งเรื่องซ่อนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ด้วย”
คำพูดเหล่านี้ของเธอสามารถทำลายความประทับใจที่ญาธิดามีต่อเขาในที่ผ่านมาได้อย่างสิ้นเชิง เธอนึกไม่ถึงเลยว่าคนที่เธออยากจะช่วยแท้จริงแล้วจะเป็นหมาป่าในร่างมนุษย์!
เมื่อเห็นแสงสว่างในดวงตาของเธอเริ่มจะริบหรี่ลง อลิสาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างลังเลว่า “เธอยังคิดจะช่วยต้นกล้าอยู่ไหม?”
ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกไป อีธานกับเอลล่าก็พาต้นกล้ากลับมาที่ห้องส่วนตัวพอดี ทั้งสองคนคอยดูแลต้นกล้าเด็กน้อยขี้กลัวเป็นอย่างดี ต้นกล้ากุมมือของสองพี่น้องไว้คนละข้าง ในแววตาที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“แม่คะ เมื่อกี้ที่ระเบียงทางเดินพวกเราบังเอิญเจอ…”
เสียงพูดเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นก่อนที่เอลล่าจะวิ่งเข้ามาหาพวกเธอทั้งสองคน เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียดภายในห้องส่วนตัว เสียงตื่นเต้นของเด็กน้อยก็หยุดชะงักพลางหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพี่ชาย
อีธานก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำได้เพียงแค่ส่งสัญญาณให้น้องสาวว่าอย่าทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ
สายตาของญาธิดาจับจ้องตรงไปที่ต้นกล้า โดยเฉพาะเมื่อเทียบเด็กคนนี้กับอีธานเอลล่าแล้วมันทำให้หัวใจของเธอบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ต้นกล้าจำเป็นต้องได้รับการรักษา!” เธอตอบอย่างไม่ลังเล น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหนักแน่น “เขาอายุยังน้อย ไม่ควรจะต้องมาเจอกับคนชั่วร้ายแบบนี้”
อลิสาตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่เธอก็เข้าใจความคิดของญาธิดา จึงได้แต่พูดอย่างลังเลว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ว่าผลลัพธ์ของพวกเราจะออกมาดีแค่ไหน นิธิศก็จะลากเขากลับไปสู่สภาวะแบบเดิม และพวกเราทำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
ญาธิดาเกิดความคิดกล้าหาญขึ้นมาในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องยุ่งยากนี้ยังไงก็จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอลิสา
เธอฉีกยิ้มให้อลิสาอย่างประจบประแจง แต่เพราะตอนนี้เธอแสดงสีหน้าตลกไม่ออก มันเลยทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าดูแย่ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
อลิสามองแล้วถึงกับขนลุกขนพองจนต้องถอยหลบออกห่างไปครึ่งเมตร ก่อนจะถามด้วยความรังเกียจว่า “เธอคงไม่คิดจะเสกต้นกล้าอีกคนออกมาหรอกใช่ไหม?”
“จะเป็นไปได้ยังไงเล่า!” ญาธิดาพ่นเสียงอย่างไม่พอใจ “ในหัวเธอคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?”
“เธอต่างหากคิดอะไรอยู่?” อลิสาตอบอย่างไม่พอใจ “วิธีการจัดการกับพวกพ่อแม่หัวรุนแรงต้องใช้วิธีแรงมาแรงกลับไม่ใช่หรือไง?”
นี่มันวิธีบ้าบออะไรกันเนี่ย?
แม้ว่าอารมณ์ของญาธิดาในตอนนี้จะหดหู่มาก แต่การที่ถูกวงจรสมองสุดแปลกประหลาดของอลิสาทำเอาตกใจแบบนี้ก็ทำให้อารมณ์ของเธอผ่อนคลายลงมากไม่น้อย
เธออธิบายต่อไปว่า “ฉันมีเพื่อนที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ อยู่คนหนึ่ง เหมือนกับว่าเขาจงใจปิดบังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ฉันอยากให้เธอช่วยตรวจให้เขาหน่อย”
“ญาธิดา นี่ฉันเคยไปขุดหลุมฝังบรรพบุรุษของเธอหรือไง เธอถึงได้จงใจไปรู้จักเพื่อนแบบนี้เพื่อมาแก้แค้นฉันน่ะ? ฉันจะบอกเธออีกครั้งนะว่าฉันเป็นแค่จิตแพทย์ไม่ใช่เครื่องจับเท็จ!” อลิสาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจพลางกุมขมับอย่างเจ็บปวด
ญาธิดารีบขยับเข้าไปใกล้เธอพลางพูดด้วยน้ำเสียงประจบสอพลอ “ถ้าเธอช่วยผู้หญิงคนนี้ก็เท่ากับช่วยหาทางออกที่ดีให้กับต้นกล้านะ แบบนี้เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ”
อลิสาพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจและพูดเสียดสีใส่เธอไปว่า “เธอกับภวินท์เป็นพวกนักธุรกิจใจดำที่ทำธุรกิจไม่ยอมเสียตังค์ทั้งคู่เลย!”
ขอเพียงแค่เรื่องนี้สำเร็จ ญาธิดาไม่สนใจหรอกว่าอลิสาจะว่าเธอยังไง
“ฉันจะพาต้นกล้ากลับไปก่อน นิธิศจะได้ไม่คิดมาก”
อลิสาไปส่งพวกเขาที่หน้าประตูร้าน นิธิศกำลังเอนตัวพิงแปลงดอกไม้ข้าง ๆ ให้ความรู้สึกสง่าและสะอาดสะอ้าน