ดวงใจภวินท์ - บทที่ 836 ตะเภาเดียวกัน
บทที่ 836 ตะเภาเดียวกัน
Amaya Hotelที่เมือง J นับเป็นฉากอันยิ่งใหญ่ในทุกค่ำคืน วันนี้ก็เช่นกัน พรมแดงปูเป็นทางยาวจากทางเข้าโรงแรมออกมาจนถึงริมถนน
มายบัคคันสีดำจอดเทียบที่ทางเข้าของโรงแรม เมื่อเห็นหมายเลขป้ายทะเบียนที่คุ้นหน้าคุ้นตา เด็กเฝ้าประตูก็รีบก้าวเข้าไปหาทันที
หมายเลขทะเบียนรถซึ่งครั้งหนึ่งเคยโด่งดังในเมือง J ยังคงเป็นที่สะดุดตามาจนถึงทุกวันนี้ ทว่าบุคคลที่ทำให้ผู้คนเห็นแล้วต้องหวาดกลัวได้เปลี่ยนจากภวินท์มาเป็นอีธาน
ใคร ๆ ต่างบอกว่าการที่เขาได้แต่งงานกับคนสวยราวกับนางฟ้าอย่างญาธิดา เท่ากับการได้ครอบครอง STN Groupที่ไม่มีวันล้มเหลว
เสียงไวโอลินแสนไพเราะดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถงของโรงแรม
เหล่าคุณนายคุณหนูทั้งหลายต่างสวมชุดราตรียาวหรูหรา มีเพียงญาธิดาเท่านั้นที่สวมชุดผ้าไหมสีขาวสั้น เรียวขาขาวอ่อนโยนสะดุดตา
สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชายผมบลอนด์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เธอเดินเข้าไปใกล้ด้วยสายตาเหยียดหยัน กระทั่งเดินเข้าไปใกล้เธอถึงชะงักฝีเท้าหยุดแล้วหยิบแก้วน้ำผลไม้ข้างโต๊ะไวน์ขึ้นจิบ
ไม่ว่าจะมองในมุมไหนท่าทางสง่าและความเฉลียวฉลาดของเธอก็ช่างสะดุดตา ผิวเนียนละเอียดยังให้ความรู้สึกเหมือนสาวน้อยวัยใส ทำเอาใคร ๆ ก็ต่างคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นแม่ม่ายยังสาวคนหนึ่ง
สายตาหื่นกระหายของพวกผู้ชายต่างจับจ้องมองมาที่เธอ แต่ก็ไม่กล้ามองนาน มีเพียงชายผมบลอนด์ชาวยุโรปคนนั้นเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดัน
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องของอีกฝ่าย ญาธิดาจึงจงใจเหลือบมองไปทางด้านข้าง ทั้งสองสบสายตากันครู่หนึ่งก่อนเธอจะเบือนหนี
วินาทีต่อมา ผู้ชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธอ
“คุณญาธิดาไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”ชายคนนั้นยกแก้วให้เธอ
หญิงสาวมองชายคนนั้นนิ่ง ๆ แววตาสับสนงุนงง ก่อนจะฉีกยิ้มเชิงขอโทษเขา “พวกเราเหมือนจะไม่เคยเจอกันมาก่อนนะคะ?”
ชายคนนั้นหัวเราะและส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ยื่นมือขวาไปหาเธอและอธิบายเกี่ยวกับตัวเองว่า “สหพันธ์การค้ายุโรป อาริโอ”
“คุณคือคุณสมิธ?! ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้คุณแต่งตัวแตกต่างไปจากครั้งก่อน ต้องโทษสายตาเซ่อซ่าของฉัน” เธอจงใจทำท่าเหมือนประหลาดใจ
อันที่จริงสองปีที่ผ่านมาเธอยังคงติดต่อกับจรณ์ผ่านทางอีธานมาโดยตลอด เพื่อสืบหาความจริงของการหายตัวไปของภวินท์
เธอไม่ยอมรับการตายของภวินท์ไม่เพียงเพราะยังไม่เห็นศพเท่านั้น แต่เธอยังมีความเชื่อมั่นบางอย่าง และมันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะเธอสืบหาจากการปฏิบัติภารกิจต่างชาติจนได้เบาะแสและสืบสาวจนเจออาริโอ
ครอบครัวของสมิธภายนอกเป็นพันธมิตรการค้าส่งออก แต่ในความเป็นจริงภายในเครือข่ายของพวกเขาเหล่านี้กลับมีธุรกิจผิดกฎหมายมากมาย และเมื่อสองปีก่อนที่ภวินท์ออกปฏิบัติภารกิจต่างประเทศก็เป็นเรื่องของครอบครัวสมิธนี้เหมือนกัน
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เธอเดินทางไปยุโรปเพื่อหาหนทางเข้าใกล้อาริโอภายใต้หน้ากากเหมือนเดินทางไปท่องเที่ยว
หลังจากเฝ้าติดตามอยู่หลายวัน เธอก็ร่วมมือกับองค์กร ทำเป็นช่วยเขาที่กำลังถูกทางองค์กรตามล่าสอบสวน หลังจากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีต่อเธอได้ระดับหนึ่งแล้วเธอก็รีบบินกลับประเทศทันที และรอให้เหยื่อมาติดเบ็ดในงานเลี้ยงวันนี้
ดูเหมือนว่าอาริโอจะไม่ถือสาที่เธอจำเขาไม่ได้ และยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้อย่างเดิมพลางตอบกลับอย่างสุภาพว่า “สำหรับคุณแล้วผมก็แค่คนที่เดินผ่านมา แต่ผมไม่กล้าลืมผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้หรอกครับ”
“ก็แค่บังเอิญเท่านั้น คุณเองก็ไม่ต้องจำใส่ใจหรอกค่ะ หรือว่าคราวหน้าหาโอกาสเลี้ยงข้าวฉันสักมื้อ ถือเสียว่าตอบแทนน้ำใจฉันเป็นไงคะ”
แม้จะรู้ว่าคำพูดเหล่านี้ของเธอพูดเป็นมารยาทเท่านั้น แต่ใบหน้าของอาริโอก็ประหลาดใจมากไม่น้อยและรีบบอกกับเธอว่า “ผมจะถือว่าประโยคนี้คุณพูดจริงจังนะครับ”
“ตามสบายค่ะ แต่ว่าทานข้าวกับฉันคงต้องนัดล่วงหน้านะคะ”
แก้วน้ำผลไม้ของเธอชนกับแก้วไวน์แดงของเขาเบา ๆ เสียงใสกังวานดังขึ้นระหว่างทั้งสองคน จากนั้นเธอก็ยืดหลังตรงและแสดงท่าทีห่างเหิน “ขอโทษด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน…”
อาริโอคว้าข้อมือของเธอไว้โดยไม่รู้ตัว แววตาเต็มไปด้วยความละโมบโลภมากจนปิดไว้ไม่มิด “คุณญาธิดาให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับ?”
ก่อนที่เธอจะปฏิเสธเขาก็หยิบแก้วของทั้งสองคนออกไปวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะแสดงท่าทางเชื้อเชิญเธอตามแบบมาตรฐาน ถ้าญาธิดายังคิดที่จะปฏิเสธอีก ก็เท่ากับทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าทุกคนในงาน
ญาธิดาหัวเราะเบา ๆ ปลายนิ้วเรียวยาววางลงบนฝ่ามือของเขา เสียงเพลงไพเราะบรรเลงไปอย่างเนิบ ๆ และทั้งสองคนก็เคลื่อนไหวอยู่บนฟลอร์เต้นรำไปพร้อม ๆ กัน
ทันใดนั้นความเยือกเย็นบางอย่างก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวเธอ ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนมีดแทงจากด้านหลังทะลุออกมาถึงหน้าอก
แผ่นหลังของเธอแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง จนพลอยทำให้การเคลื่อนไหวก็ดูแข็งทื่อตามไปด้วย เธอพยายามหมุนคอที่เกร็งแข็งอย่างสุดกำลังเพื่อมองหาต้นเหตุของความรู้สึกเมื่อครู่นี้
แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีอะไรเลย…
รอบกายยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนจับตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ พลางพูดจาทักทายกันอย่างสุภาพ
“คุณญาธิดาไม่สบายเหรอ?” เสียงของอาริโอดังขึ้นจากข้างหู ญาธิดาจึงหันไปมองเขาด้วยความตกใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันทำให้ญาธิดารู้สึกชาไปทั้งตัว และพยายามรักษาระยะห่างระหว่างทั้งสองคนให้มากที่สุด หลังจากปรับสภาพอารมณ์ตัวเองได้แล้วก็กลับมาเต้นรำต่อ
“คุณกลัวผมเหรอ?” ขนาดน้ำเสียงล้อเล่นของผู้ชายคนนี้ยังฟังดูมืดมนเลย
“กลัว?” เธอเหลือบตาขึ้นมองเขาพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าคนในตระกูลสมิธโหดเหี้ยม ไม่เห็นใจคนอื่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำอย่างสุดโต่ง คุณว่าฉันจะกลัวคุณไหมคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอาริโอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังไม่ทันที่เธอจะได้มองชัด ๆ สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติแล้ว และเหลือเพียงเสียงหัวเราะกรุ้มกริ่มอยู่ข้างใบหู
“คุณญาธิดาสบายใจได้ ผมไม่มีทางลงมือกับคนที่รักที่ชอบหรอกครับ”
ขณะที่พูดเขาก็ออกแรงที่ท่อนแขนรวบร่างเพรียวบางของเธอเข้าไปในอ้อมแขน แต่น่าเสียดายที่กอดรัดเธอแน่นไปไม่ได้ ญาธิดาดิ้นหลุดจากการกระทำของเขาอย่างรวดเร็ว มือเล็กนุ่มนิ่มหยิกเข้าตรงเอวของเขา
อาริโอทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แม้แต่ใบหน้าเสแสร้งเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีให้เห็น ดูเหมือนว่าส่วนเอวจะเป็นส่วนต้องห้ามที่ห้ามสัมผัสของเขา
ญาธิดาหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับกำลังหาเบาะแสจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ริมฝีปากสีแดงค่อย ๆ อ้าออกซึ่งน้ำเสียงก็ฟังดูน่ากลัวไม่แพ้กัน
“ฉันสงสัยจริง ๆ ว่านิยามของคำว่าคนที่รักของคุณคืออะไร เพราะฉันเคยได้ยินมาว่าเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวพี่ชายคนโตของคุณจับพี่สะใภ้ขังให้ห้องลูกกรงเหล็กด้วยมือของตัวเองนานกว่าสามสิบปี”
เสียงเพลงเต้นรำค่อย ๆ จบลง มือเล็ก ๆ ของเธอขยับไปแตะอยู่ตรงหน้าอกของเขา สัมผัสนุ่มนวลแผ่วเบาราวกับลูกแมวน้อย ทว่าแววตากลับดูเยือกเย็นจนไม่อาจดูถูกได้ง่าย ๆ “ประเทศของพวกเรามีสุภาษิตหนึ่งว่าไว้ว่า ตะเภาเดียวกัน”
หลังจากพูดจบเธอก็คว้าปกเสื้อของอาริโอไว้แน่น ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดขี่จากเธอคอยเตือนสติเขาให้ตื่น เขาคงคิดว่าท่าทางของทั้งสองคนในตอนนี้ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
“คิดอยากจะจีบผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ ความจริงใจของคุณมันยังไม่พอนะคะ”
หลังจากปลีกตัวออกจากฟลอร์เต้นรำ เธอเดินผ่านฝูงชนไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ในฝ่ามือของเธอนอกเหนือจากเหงื่อที่ไหลซึมออกมาเพราะความประหม่าแล้วยังมีชิปขนาดเล็กอันหนึ่งด้วย
ของสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญที่ทำให้สีหน้าของอาริโอเปลี่ยนไปกะทันหันและเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้