ดวงใจภวินท์ - บทที่465 พูดโกหกเป็นนิสัย
บทที่465 พูดโกหกเป็นนิสัย
ทันใดนั้นเอง คุณย่าแห่งตระกูลสถิรานนท์ก็นึกย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน สายตาเธอจ้องมองไปยังพวกเด็กๆที่ร้องเจี๊ยวจ๊าวหน้าประตูท้องฟ้าจำลอง ทันใดนั้นน้ำตาก็รื้นขึ้นมาเต็มขอบตา
“นายท่าน……” คนรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างๆไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไปเหรอคะ?”
คุณย่ายกมือขึ้น เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา แล้วสูดหายใจพูดว่า “ไป…ไปดูทางนั้นกัน”
ว่าแล้วเธอก็ก้าวเดินออกไปทางนั้น
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กชายคนนั้นคล้ายกับภวินท์ ทั้งคิ้วตา สีหน้าท่าทาง เป็นเหมือนกับภวินท์ตอนเด็กอย่างกับแกะ
“พี่คะ พวกเราจะต่อแถวอีกนานแค่ไหน!”
เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างเด็กชายหันหลังให้คุณย่าอยู่ ระหว่างที่พูดนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตใสแจ๋วคู่นั้น จมูกโด่งเล็กน้อย อายุยังน้อยก็ดูออกว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง
ที่ทำให้คุณย่าประหลาดใจก็คือ เด็กหญิงกับเด็กชายหน้าตาคล้ายกันมาก เด็กสองคนเหมือนตุ๊กตาแกะสลักตัวเล็กๆยืนอยู่ตรงกลางพวกเด็กๆ ดูโดดเด่นสะดุดตา ทำให้คนที่เห็นแล้วอดไม่ได้ต้องเอ็นดู
คุณย่าเดินเข้าไปใกล้ มองดูอีธานกับเอลล่า ความรู้สึกดีใจล้นปรี่ออกมา
เด็กสองคนหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคิ้วและดวงตาของพวกเขาคล้ายกับภวินท์ตอนเด็กมาก ทำให้เธอยิ่งหลงรักเข้าไปใหญ่
“เด็กๆ……” คุณย่าเดินเข้าไปใกล้ผู้คน มองดูอีธานกับเอลล่า นัยน์ตาประกายไปด้วยความอ่อนโยน “พวกหนูชื่ออะไรจ๊ะ?”
อีธานกับเอลล่าได้ยินแล้วก็หันหน้าไปมอง เห็นหน้าตาใจดีของคุณย่า ก็ไมได้พูดอะไร
ชะงักสักพัก เอลล่าก็ถึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหน่อมแน้มว่า “แม่บอกว่าไม่ให้พวกเราพูดกับคนแปลกหน้าค่ะ”
คุณย่าได้ยินแล้วก็ยิ้มตาหยีจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “พ่อแม่ของพวกหนูเป็นใครเหรอจ๊ะ?”
เอลล่ากำลังจะตอบ แต่กลับถูกอีธานที่อยู่ข้างๆห้ามเอาไว้ก่อน เขาขวางหน้าเอลล่าไว้เหมือนลูกผู้ชาย แล้วพูดกับคุณย่าว่า “คุณยายครับ คำถามส่วนตัวแบบนี้พวกเราตอบไม่ได้ครับ”
เอลล่าอดไม่ได้พูดขึ้นว่า “แต่ฉันว่าคุณยายคนนี้ดูไม่เหมือนคนร้ายนะ…”
อีธานขมวดคิ้วแล้วสอนน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อบอกแล้วไง! คนร้ายไม่ได้เขียนคำว่า ‘คนร้าย’ ไว้บนหน้าสักหน่อย!”
“……”
ได้ยินบทสนทนาของเด็กสองคน คุณย่าก็หัวเราะไปตามๆกัน เธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดคุยกับพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ญาธิดาที่นั่งอยู่ในร้านน้ำพูดกับธีทัตเสร็จ ก็ตัดสายวิดีโอคอลไป เงยหน้ามองไปยังหน้าประตูท้องฟ้าจำลองอีกครั้ง ตามหาอีธานกับเอลล่า
ตอนที่เห็นเด็กสองคน ญาธิดาก็รู้สึกโล่งใจ แต่วินาทีต่อมา พอเธอเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆคือนายท่านแห่งตระกูลสถิรานนท์ สีหน้าก็บึ้งตึงลงทันที
ทำไมถึงเป็นคุณย่ากัน?
อีธานเอลล่าไปคุยกับเธอได้ยังไงกัน?
เลือดในตัวพลุ่งพล่านขึ้นมา ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบลุกขึ้นเดินไปทางนั้น แต่ยังเดินไม่ถึงสองก้าว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมา
ถ้าตอนนี้เธอเข้าไปหาอีธานกับเอลล่าไป คุณย่าก็จะรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา จะต้องถามอะไรแน่ ถึงตอนนั้นเธอกลัวว่าตัวเองจะตุกติกเลิ่กลั่กจนทำให้เสียเรื่อง
กว่าเธอจะหลอกภวินท์แล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ตอนนี้พออยู่ตรงหน้าคุณย่าที่ตาแหลมกว่าใครอื่น เธอจะปกปิดยังไงล่ะ ด้วยการแสดงที่ห่วยแตกของเธอ เกรงว่าจะผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ
คิดได้แบบนี้แล้ว ญาธิดาก็เย็นเฉียบไปทั้งตัว แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ลังเลสักพัก แล้วเงยหน้ามองบอดี้การ์ดโชนที่อยู่ไม่ไกลมาก
ยังดีที่มีโชนอยู่ด้วย เธอจะได้ไม่ต้องไปเอง!
เธอรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างดีใจ สั่งโชนเสร็จก็รีบกลับหลังหันเดินไปร้านเสื้อผ้าข้างๆ
มองผ่านกระจกใส เธอใช้ราวเสื้อผ้าเป็นที่กำบัง จากมุมของเธอสามารถเห็นเหตุการณ์ตรงนั้นได้อย่างชัดเจน และยังปกปิดตัวเองได้ด้วย เป็นแผนที่เยี่ยมจริงๆ!
เธอยืนอยู่ด้านหลังราวเสื้อผ้า ดูแล้วเหมือนกำลังเลือกเสื้อผ้า แต่ความจริงกำลังตั้งใจสังเกตเหตุการณ์หน้าประตูท้องฟ้าจำลองอยู่
มองดูบอดี้การ์ดโชนเดินไปทางนั้นแล้วก้มหน้าพูดอะไรสักอย่างกับอีธานเอลล่า เด็กสองคนรีบหันหน้าไปมองทางร้านน้ำ พอไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยแล้ว ก็เอียงหัวเหมือนกำลังถามอะไรสักอย่าง
โชนไม่รู้ว่าพูดอะไรกับพวกเขาบ้าง เด็กสองคนโบกมือลาคุณย่า ต่อมาก็จับมือโชนซ้ายขวาเดินออกจากท้องฟ้าจำลอง
มองดูพวกเขาเดินออกไปกันแล้ว จิตใจที่ร้อนรนของญาธิดาก็ใจเย็นได้สักที
เธอแอบโล่งอก กลับหลังหันแล้วเดินไปข้างหน้า แต่กลับชนเข้ากับแผงอกที่แข็งแกร่งตรงหน้า
ญาธิดาเจ็บหน้าผากจนยกมือขึ้นลูบ แล้วรีบกล่าวขอโทษ “ขอโท……”
ว่าแล้ว เธอก็เงยหน้ามองคนที่อยู่ด้านหลัง พอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มแล้ว เธอก็มองตาโตแล้วรีบถอยหลังไปอย่างตกตะลึง“คุณ……”
“ทำไม?” ภวินท์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปใกล้ชิดกับเธอ “มิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีสางเคาะประตู ญาธิดา เธอทำตัวลับๆล่อๆตรงนี้ทำไม?”
รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายชายหนุ่ม แถมยังถามออกมาแบบนี้อีก ทำเอาญาธิดารู้สึกลนลานจนพูดไม่ออก
อ้ำอึ้งอยู่สักพัก เธอรีบพูดพอให้พ้นตัว “ลับๆล่อๆอะไรกัน ฉันมาเลือกซื้อเสื้อผ้า!”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่นี่เป็นร้านขายเสื้อผู้ชายโดยเฉพาะนะ”
พอเขาพูดเตือนแบบนี้ ญาธิดาก็เห็นว่าที่นี่เป็นร้านเสื้อผ้าผู้ชาย!
อ้ำอึ้งอยู่สักพัก เธอรีบพูดพอให้พ้นตัว “ลับๆล่อๆอะไรกัน ฉันมาเลือกซื้อเสื้อผ้า!”
เธอตื่นเต้นแล้วรีบพูดแก้ตัวไปว่า “ฉันมาซื้อเสื้อผ้าให้ทัตต่างหากล่ะ”
พอพูดจบ สีหน้าของภวินท์ก็บึ้งตึงลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ยื่นมือไปจับข้อมือของญาธิดาไว้ “พูดโกหกเป็นนิสัย ญาธิดา เธอเป็นแม่คนแบบนี้เองเหรอ?”
ฝ่ามือของเขาใหญ่มาก และร้อนมากเหมือนกัน ญาธิดาตัวแข็งทื่อ รีบถอยหลังออกไป เธอขมวดคิ้ว นึกถึงเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นครั้งก่อน ก็ใช้แรงสะบัดมือของภวินท์ออก
เธอพูดอย่างโมโหว่า “ภวินท์ นายบ้าไปแล้วหรือไง! ฉันมาเที่ยวห้าง นายมายุ่งอะไรกับฉันด้วย?”
ภวินท์ขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีดำจ้องมองเธอนิ่ง “ญาธิดา เธอคิดว่าฉันไม่เห็นหรือไง?”
เมื่อกี้เขามาหาคุณย่า ก็เห็นญาธิดาสั่งให้บอดี้การ์ดไปหาอีธานเอลล่าพอดี และเธอก็มาหลบข้างๆ กลัวว่าจะถูกคนอื่นจับได้
เธอทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวคุณย่าจะเห็นเข้า
ภวินท์ขมวดคิ้ว “เธอหลบอะไร? กลัวคุณย่าจะรู้ว่าอีธาน เอลล่าเป็นลูกเธอหรือไง?”
คำพูดของผู้ชายเป็นเหมือนมีดที่แทงเข้าอกทะลุเข้าหัวใจ ญาธิดารู้สึกลนลานจนพูดไม่ออก
ภวินท์พูดถูก เธอกลัวว่าคุณย่าจะรู้ว่าอีธานเอลล่าเป็นลูกของเธอ ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว คุณย่าจะต้องสงสัยแน่นอน เธอกลัวว่าจะถูกจับได้
ไม่คิดว่า ช่างบังเอิญจริงๆ ไม่เจอคุณย่า แต่กลับเจอภวินท์แทน
ตอนนี้เธอโดดน้ำก็คงแก้ตัวอะไรไม่ได้แล้วล่ะ
สังเกตเห็นสีหน้าที่ลนลานของหญิงสาว ภวินท์ก็จ้องมองเธอแล้วถามว่า “เธอกลัวอะไร?”
ญาธิดากำหมัดแน่น ทำเป็นใจเย็นแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้กลัวอะไรสักหน่อย”
ภวินท์ขมวดคิ้ว แล้วถามต่อ “งั้นเหรอ? หรือว่าอีธานเอลล่ากับคุณย่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ดังนั้นเธอเลยกลัวขนาดนี้??”
ญาธิดาร้อนใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันพูดว่า “ภวินท์ ทำไมฉันต้องหลบคุณย่าของนายด้วย? ฉันแค่ไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับคนตระกูลสถิรานนท์อีก นายเข้าใจไหม!”