ดวงใจภวินท์ - บทที่466 ไม่มีเวลาลงมือ
บทที่466 ไม่มีเวลาลงมือ
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ สายตาประกายไปด้วยความเย็นชา และแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวกับความห่างเหินอย่างชัดเจน
ภวินท์ได้ยินแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ คำพูดที่กำลังจะพูดก็พูดไม่ออก ความสงสัยในใจก็ลดลงไปเรื่อยๆ
ที่แท้ ญาธิดาปฏิเสธเขากับตระกูลสถิรานนท์ขนาดนี้เลยเหรอ
เขาขมวดคิ้วแน่น ยังไม่ทันได้พูดอะไร ญาธิดาก็รีบก้าวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้แล้ว
มองดูแผ่นหลังที่เด็ดขาดของผู้หญิง ในใจของภวินท์ก็มีอารมณ์ซับซ้อนพลุ่งพล่านขึ้นมา รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น เขาถึงได้สติ
หยิบโทรศัพท์ออกมา ก็เห็นว่าเป็นสายจากคนรับใช้ข้างคุณย่า เขาลังเลสักพัก แล้วกดรับสาย “อืม อืม ฉันถึงแล้ว”
ออกมาจากร้านเสื้อผ้าผู้ชาย เดินไปตามทางเดินไม่ไกลมาก เดินผ่านท้องฟ้าจำลอง จนมาถึงลาดา บูติก เดินมาถึงหน้าประตู เขาก็เห็นคุณย่านั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าผิดหวังเสียใจ
เขาสูดหายใจเข้าแล้วเดินไปตรงหน้า “คุณย่าครับ”
คุณย่าได้ยินเสียงนี้แล้ว ก็เงยหน้าขึ้น ตอนที่เห็นเขาเข้ามา แววตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “วินมาแล้วเหรอ!”
ภวินท์กระตุกยิ้มบางๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณย่าลองเสื้อผ้าหรือยังครับ?”
คุณย่าส่ายหน้าแล้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้ จากนั้นก็พูดว่า “วิน เมื่อกี้ย่าเห็นเด็กสองคน หน้าตาคล้ายแกมากเลย แกว่า ย่าอยากอุ้มเหลนจนหลอนไปเองหรือเปล่า?”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็ตื่นเต้น ชะงักไปสักพัก ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “หน้าตาคล้ายผมตอนเด็กเหรอครับ?”
คุณย่าพยักหน้าแล้วพูดอย่างแน่ใจว่า “ใช่ คิ้วตาเหมือนกับแกตอนเด็กอย่างกับแกะเลยล่ะ!”
วินาทีนั้นเอง ภวินท์ก็รู้สึกสับสน ในสมองมีภาพใบหน้าของอีธานเอลล่าปรากฏขึ้น เขาเงียบไม่พูดไม่จา
อีธานกับเอลล่าเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกของญาธิดากับธีทัต ทำไมคุณย่าถึงบอกว่าเหมือนเขาล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นเขาเอาเส้นผมของเอลล่าไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาลเองกับมือ และเฝ้าอยู่หน้าประตูตั้งแต่ต้นจนจบ ผลตรวจต้องไม่ผิดแน่นอน
และในตอนนี้เอง ทันใดนั้นคุณก็ย่าพูดขึ้น ยกมือขึ้นตบหลังมือเขาเบาๆ “วิน แกจะมีเหลนให้ย่าอุ้มเมื่อไหร่กันนะ!”
ภวินท์ได้ยินแล้วก็เงียบไม่พูด
“ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องแบบนี้ ถ้ามีข่าวดีออกมา เรื่องร้ายๆทั้งหมดก็จะคลี่คลายลงไปเอง” คุณย่าว่าแล้วก็มองเขา แล้วพูดเตือนว่า “วิน เรื่องการมีลูก แกต้องคิดดีๆนะ”
ภวินท์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ยังไงนี่ก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากคุณย่า เขาตอบโต้ไม่ได้ จึงต้องตอบตกลง “เข้าใจแล้วครับคุณย่า”
คุณย่าพยักหน้าจับมือของเขาแล้วพูดอย่างลึกซึ้งว่า “แกเข้าใจก็ดีแล้ว ร่างกายของย่าแกก็รู้ดี อย่าให้ย่ารอนานเกินไปล่ะ”
ภวินท์พยักหน้า พูดคุยกับคุณย่าสักพัก ก็ถึงโน้มน้าวให้เธอไปลองเสื้อผ้าได้
ซื้อเสื้อผ้าและกินข้าวกับคุณย่าเสร็จ ก็ถึงส่งคุณย่ากลับไป
ตอนเย็นวันนั้น ก็มีสำนักข่าวรายงานข่าวว่า ภวินท์เที่ยวห้างและกินข้าวกับนายท่านแห่งตระกูลสถิรานนท์ ย่าหลานสองคนสนิทกันมาก ภวินท์ก็กตัญญูมากเช่นกัน
ข่าวด้านดีๆประกาศออกไป ทำเอาชาวเน็ตปลื้มภวินท์มากขึ้นไปอีก บวกกับที่มีคุณย่าอยู่ด้วย ขนาดพวกหุ้นส่วนในบริษัทที่มีอำนาจยังต้องเงียบไปหลายวัน
ใช้โอกาสสองวันนี้ ภวินท์รีบเซ็นสัญญาโครงการใหญ่ๆที่ร่วมงานกับบริษัทอื่น จึงทำให้ข่าวลือในบริษัทลดลงไปมาก
แต่เรื่องเอกสารลับที่ถูกเผยแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ แม้ภวินท์จะทำงานได้ดีแค่ไหน ก็ไม่อาจจะปิดบังเรื่องนี้ไปได้ ทุกคนต่างก็รอให้เขาออกมาพูดแก้ต่าง แต่ภวินท์กลับใจเย็นมาก ไม่พูดถึงผลการจัดการเรื่องนี้เลยสักนิด
STN Group
ภวินท์นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เปิดดูกราฟตลาดหุ้นบนแท็บเล็ต ขมวดคิ้วเป็นปม
ทันใดนั้น ประตูห้องถูกเปิดออก พายุรีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเข้มงวด ยื่นเอกสารในมือไปแล้วพูดว่า “นี่คือการเดินทางช่วงนี้ของคุณหลุยส์ครับ”
ภวินท์ได้ยินแล้วก็รีบมองไป แล้วเปิดเอกสารฉบับนั้นออก
ตอนวันเกิดของญาธิดา หลุยส์อยู่ในบาร์ของตัวเอง ตั้งแต่เช้าก็เข้าบาร์แล้ว จนถึงตอนเย็นถึงออกมา หลังจากนั้นสองชั่วโมงก็เข้าไปในบาร์อีกครั้ง
นี่คือหลักฐานที่อิงตามกล้องวงจรปิดด้านนอกบาร์ ถ้าเป็นไปตามนี้จริง หลุยส์ก็อยู่ในบาร์ของตัวเองตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาลงมือด้วยซ้ำ
ภวินท์ขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม พายุที่อยู่ข้างๆก็รายงานต่อ “บันทึกของลูกน้องคนอื่นๆของเขาอยู่ข้างล่างครับ”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็เปิดต่อ เขายิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ
ทุกคน การเดินทางของหลุยส์กับลูกน้องคนสนิทของเขาก็มีบันทึกที่ตามสืบได้กันหมด เลี่ยงเวลาการลงมือออกไปได้ทั้งหมด นั่นก็หมายความว่า ดูจากภายนอกแล้ว ตอนญาธิดาถูกลักพาตัวไปในวันเกิด ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิด
แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ หลักฐานไม่อยู่ในเหตุการณ์สมบูรณ์แบบเกินไป จนเหมือนตั้งใจปกปิดอะไรสักอย่าง
ภวินท์สูดหายใจเข้าลึกๆ ในมือหมุนปากกาสีดำเล่น ในสมองก็มีสถานที่แปลกๆมากมายลอยขึ้นมา
ครุ่นคิดสักพักหลังจากนั้น เขาก็เงยหน้ามองพายุ “กล้องวงจรปิดนอกบาร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทั้งหมด เอากล้องวงจรปิดในร้านมาได้ไหม?”
พายุตอบไปตามตรง “เกรงว่าจะไม่ได้ครับ แผนการของพวกเราใช้ไม่ได้กับหลุยส์”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร
เขากับหลุยส์รู้จักกันมานานหลายปี พวกเขาเป็นสหายร่วมรบเคียงข้างกัน เป็นพี่น้องที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน พวกเขารู้จักกันและกัน และรู้จุดแข็งกับจุดอ่อนของอีกฝ่ายด้วย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภวินท์คงเอาวิดีโอจากกล้องวงจรปิดมาได้ง่ายๆ แต่อีกฝ่ายเป็นหลุยส์ แอบทำลับหลังเขาไม่สู้เท่าทำแบบเปิดเผยดีกว่า
ภวินท์สูดหายใจเข้า แล้วปิดเอกสารในมือลง เดินไปข้างเครื่องย่อยกระดาษ แล้วโยนมันเข้าไป
นิ่งเงียบไปสักพัก เขาก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เตรียมรถ ไปหาหลุยส์กัน”
เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ไปถามตรงๆจะดีกว่าอีก
ญาธิดาถูกลักพาตัวไปในวันเกิดของตัวเอง และเขาก็สืบได้ว่าคนที่จับตัวเธอไปคือสิงโต ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของหลุยส์จริงหรือเปล่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่
ไปถึงบาร์ของหลุยส์ ภวินท์ก็เดินเข้าไปในห้องเก็บไวน์ทันที
เขาเพิ่งนั่งลงได้ไม่ถึงสิบนาที ประตูก็ถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้น ไม่นาน ก็มีเสียงพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะดังขึ้น “วิน”
“เช้าขนาดนี้ นึกยังไงมาหาฉันที่นี่กัน?”
หลุยส์เหมือนจะอารมณ์ดีมาก หยิบไวน์แดงที่มีอายุการหมักที่นานพอสมควรออกมาจากตู้เก็บไวน์ วางลงบนโต๊ะแล้วเอาแก้วไวน์จากด้านข้างมาสองแก้ว
ภวินท์มองดูท่าทางการเปิดฝาขวดไวน์ที่ชำนาญของเขา เขายืดตัวตรงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “วันนี้มาคุยธุระสำคัญน่ะ ไม่ดื่มเหล้า”
หลุยส์ได้ยินแล้วก็ชะงักไปสักพัก จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาคุยธุระกับฉันงั้นเหรอ?”
ภวินท์ยังคงมีสีหน้าเข้มงวดเหมือนเดิม ไม่ได้คิดที่จะพูดเล่นกับเขาเลย
หลุยส์เห็นดังนั้นแล้ว ก็ถึงหยุดการกระทำของตัวเอง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วนั่งไขว่ห้างอย่างขี้เกียจ “เรื่องอะไร? ทำไมเข้มงวดขนาดนี้?”
ภวินท์ไม่พูดอ้อมค้อม เอ่ยถามไปตรงๆว่า “วันศุกร์อาทิตย์ก่อนนายอยู่ไหน?”
ได้ยินดังนั้นแล้ว หลุยส์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ต่อมาก็กระตุกยิ้มมุมปาก “วันศุกร์? ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว ทำไมเหรอ?”
ภวินท์พูดต่อไปอย่างไม่รีบร้อน “เป็นวันที่ญาธิดาเกิดเรื่อง ฉันโทรศัพท์หานาย ให้นายสั่งคนไปหาเธอ”
พอเขาเตือนแบบนี้ หลุยส์ก็ถึงรู้ตัว “วันนั้นเองเหรอ! ฉันอยู่ในบาร์ตลอด หลังจากนั้นก็ได้รับสายจากนาย ก็ออกไปหากับพวกเพื่อนๆสองชั่วโมงกว่า ต่อมาได้ยินว่าเจอตัวเธอแล้ว ฉันเลยกลับมา”
เขาว่าแล้วก็ยืดหลังช้าๆ เงยหน้ามองภวินท์ แล้วเลิกคิ้วถามว่า “ทำไม? นายสงสัยฉันงั้นเหรอ?”