ดวงใจภวินท์ - บทที่477 สิ่งที่เลวร้ายสุด
บทที่477 สิ่งที่เลวร้ายสุด
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทันใดนั้น ธีทัตหน้าเขียวเล็กน้อย
เขาไม่คิดว่า ที่แท้เป็นเขา!
เขากับหลุยส์ก็เคยเจอกันหลายครั้ง ทุกครั้งที่เขากับภวินท์เผชิญหน้ากัน หลุยส์จะมาเป็นตัวแสดงในฐานะผู้สร้างสันติ ความรู้สึกที่เขาให้เขา เป็นคนรอบรู้ ดูผิวเผินเหมือนเยาะเย้ยถากถางสังคม แต่ลับหลังนั้นไม่สามารถจะเข้าใจความคิดของเขา เป็นคนที่ซับซ้อนมาก
ธีทัตสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แน่ใจใช่ไหม?”
หมอกกล่าวว่า “เจ็ดแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ธีทัตเกือบจะมั่นใจแล้ว
หากไม่ผิด น่าจะเป็นเขา ไม่ว่าอย่างไร ความสามารถของหมอกนั้นเขารู้ดี
สุดท้าย เขากล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “ดี ฉันรู้แล้ว ”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ จะบอกคุณญาธิดาไหม ”
มีประกายความมืดในแววตาของธีทัต หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ยัง ”
เขาเพิ่งบอกญาธิดาไปว่าเขาสงสัยว่าเรื่องลักพาตัวครั้งก่อนนั้นนิวราเป็นคนทำ ตอนนี้จู่ๆ ก็บอกว่าหลุยส์เป็นคนทำ มันกลับกลอกเกินไป อีกอย่าง เขายิ่งอยากให้ญาธิดาคิดว่านิวราเป็นคนทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นผลดีกับเขามากกว่า……….
ธีทัตสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้แกรู้ฉันรู้ ห้ามให้คนที่สามรู้เรื่องนี้ เข้าใจใช่ไหม?”
“เข้าใจครับ”
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับของเขา ธีทัตจึงวางสายลง เก็บมือถือ แล้วหันหลังก้าวเดินไปทางรถ
มองข้างแก้มสวยงามของหญิงสาวผ่านกระจกรถ เขาอดที่จะใจเต้นไม่ได้
บางครั้ง ก็จำเป็นที่จะต้องโกหกบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น กับผู้หญิงที่เขาอยากได้ด้วย ความหลอกลวงเล็กๆ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาขึ้น เขารู้สึกว่าไม่อาจปฏิเสธว่าไม่ดีหมด
ออกจากพิธีตัดริบบิ้น เมื่อกลับถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ดแล้ว ญาธิดาอาบน้ำ กินข้าวกับสองหนูน้อย หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของเตรียมจะจากไป
เห็นเธอกำลังพับเสื้อผ้า สองหนูน้อยขวาคนซ้ายคนกอดขาเธอไว้ แล้วเงยหน้าถามว่า “คุณแม่ ยังจะไปอีกหรือ?”
ญาธิดาก้มหน้า มองดูหนูน้อยทั้งสองสีหน้าไม่อยากให้ไป ทันใดนั้นใจอ่อนเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวปลอบเบาๆ ว่า “ตอนนี้น้าของพวกหนูยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล แม่จะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ พวกหนูก็อยากจะให้น้าฟื้นในเร็ววันไม่ใช่หรือ?”
แม้จะไม่อยากให้ไปขนาดไหน แต่เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ลูกแฝดก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วออกจากห้องไปอย่างรู้ตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลังกลับมาอีกครั้ง “อันนี้ให้คุณแม่ เอาไว้ฆ่าเวลาได้……..”
ญาธิดาก้มหน้า จึงเห็นว่าที่อีธานยื่นมานั้นเป็นหนังสือสารานุกรมดาราศาสตร์เล่มหนึ่ง ทันใดนั้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เธอยื่นมือไปจะรับ เอลล่าที่อยู่ข้างๆ เอาถุงที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมา “คุณแม่ขา หนูให้อันนี้ ………”
ในกล่องใสๆ มีลูกอมหลากสีสันลวดลายมากมาย ดูไปแล้วทั้งน่ารักและสวยงาม เอลล่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ว่า “หากน้าเล็กเจ็บ ก็ให้เธอกินอันนี้ได้ ได้ผลดีมาก ”
เมื่อได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็กน้อยสองคน ญาธิดาทั้งอยากหัวเราะและตื้นตันใจ นั่งลงกอดพวกเขาไว้ทันที “ขอบคุณที่ลูกรัก รอให้น้าเล็กฟื้นแล้ว แม่ค่อยมาอยู่กับพวกหนู จะชดเชยกลับมาให้ ”
สำหรับสิ่งที่ติดค้างลูกแฝด เธอจะต้องชดใช้เป็นสิบเท่าร้อยเท่าถึงจะได้
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ญาธิดาคิดไม่ถึงก็คือ อัญมณีนั้นนอนไม่ได้สตินานขนาดนี้
หลังจากนั้นในหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เธอเฝ้าอยู่ข้างเตียงทั้งวันทั้งคืน อัญมณียังคงไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยสักนิด ในทุกสุดหัวใจญาธิดาไม่อาจจะสงบสุข ธีทัตก็ทนไม่ไหวแล้ว ส่วนพายุนั้นก็เหมือนกัน หาเวลามาหาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ……..
ทุกคนร้อนรนเหมือนมดในหม้อร้อน
สุดท้าย ญาธิดาทนไม่ไหวแล้ว จึงดึงธีทัตไปสอบถามอาการกับหมออีกครั้ง
คุณหมอถอนหายใจ หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบพวกเขาว่า “คนไข้เพราะเซลล์สมองได้รับความเสียหายอย่างหนัก กลัวว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ ”
ข่าวนี้เหมือนฟ้าผ่า ญาธิดาตัวแข็งทื่อ พูดไม่ออก
สีหน้าของธีทัตที่อยู่ข้างๆ ก็เคร่งเครียดอย่างไม่เคยมีมากก่อน “ดังนั้น กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราแล้วใช่ไหม?”
“อาการซับซ้อนมาก ตอนนี้เธออาจจะฟื้นขึ้นมา แต่จะเป็นเวลาไหนนั้น ไม่อาจจะคาดการณ์ได้ นั่นก็หมายความว่า เธออาจจะนอนอยู่อย่างนี้ตลอดไป และก็อาจจะตื่นขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น พอไม่ระวังใช้แรงมากไปจนกัดริมฝีปากแตก กลิ่นคาวเลือดกระจายเต็มปาก
เป็นไปตามคาด นี่ก็คือข้อสรุปที่เลวร้ายที่สุด
ไม่รอคุณหมอพูดอะไรอีก จู่ๆ เธอลุกขึ้น หันหลังเดินออกไปจากสำนักงาน เดินออกไปข้างนอกไม่กี่ก้าว จึงอดไม่ได้ที่จะใช้สองมือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอื้นออกมา
เธอกับอัญมณีรู้จักกันมานานขนาดนี้ เธอเห็นเธอเป็นคนในครอบครัวมานานแล้ว วันนี้ได้ยินข้อสรุปนี้ เธอรับไม่ได้จริงๆ
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง แล้วตามด้วย ความอบอุ่นบนไหล่ของเธอ คนทั้งคนถูกธีทัตค่อยๆ หมุนกลับไป เธอมองดูเขาผ่านน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “จะทำอย่างไร…….”
เธอหมดปัญญาจริงๆ
“ผมได้เตรียมพร้อมรับกับสิ่งเลวร้ายที่สุดมานานแล้ว ผมได้ติดต่อคุณหมอจากต่างประเทศ อีกสามวันก็จะถึงเมืองJ จะมาตรวจดูอาการของอันอัน หากเป็นไปได้ เขาจะทำการบำบัดรักษาโดยการปลุกถ่ายเซลล์”
ญาธิดาตกตะลึง “จริงหรือ?”
ธีทัตพยักหน้าอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ในใจญาธิดาจึงมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เธอจับแขนของธีทัตไว้ แล้วถามขึ้นว่า “ได้ผลจริงๆ ใช่ไหม?”
“ได้ผล ตราบใดที่เซลล์สมองยังไม่ได้ตายหมด ทุกอย่างจะดีขึ้น ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ญาธิดาทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ดีจังเลย!”
ขอเพียงทำให้อัญมณีฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าเธอจะลำบากขนาดไหน ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว
แล้วคุยกับธีทัตต่อครู่หนึ่ง เขาจึงจากไปก่อนเพราะมีงานต้องไปทำ ญาธิดาเดินไปถึงที่สวนดอกไม้เล็กๆ ให้เวลากับตัวเองสั้นๆ ให้หัวสมองได้ค่อยๆ ว่างเปล่า
แต่ในหัวสมองยังคงว่างเปล่า เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ยังไม่เกิดขึ้น ยิ่งรู้สึกสับสนในใจ
ทันใดนั้น ในหัวสมองมีใบหน้าวนเวียนเข้ามา ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบมือถือออกมา โทรหาพายุ
ช่วงสองสามวันมานี้ จะฉวยโอกาสมาดูอันอันทุกครั้งตอนที่ธีทัตไม่อยู่ ความมุ่งมั่นกับความจริงใจของเขานั้นเธอดูอยู่ในสายตา อย่างน้อย เขานั้นจริงจังกับอันอัน
และวันนี้ เธอรู้เรื่องนี้จากหมอแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะบอกเขาสักคำ
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้อันอันยังคงเป็นแฟนของเขา
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดปุ่มโทรออก ทางนั้นดังอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็มีคนรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล”
“ฮัลโหล พายุ คุณมีเวลาไหม?หาเวลาว่างมาโรงพยาบาลได้ไหม?”
เมื่อพายุได้ยินเช่นนั้น ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “อันอันรู้สึกตัวแล้วหรือ?”
ญาธิดากำหมัดแน่น ทันใดนั้นยากจะเอ่ยปาก หยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ยัง มีเรื่องหนึ่ง คิดว่าจำเป็นจะต้องบอกคุณ ”
ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ”
เมื่อวางสายลง ญาธิดารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
สักพักถ้าเจอพายุจริงๆ เธอกลัวว่าไม่อาจจะพูดความจริงออกมาได้
ไม่ว่าอย่างไรสำหรับพายุแล้ว ความจริงนี้มันโหดร้ายเกินไป