ดวงใจภวินท์ - บทที่514 ศพหายไปแล้ว
บทที่514 ศพหายไปแล้ว
หากเรื่องไหนที่ญาธิดาตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครที่สามารถจะรั้งเธอไว้ได้
หลังจากที่เธอบอกเรื่องนี้กับอีธานและเอลล่า เช้าตรู่วันที่สอง ก็รีบพาพวกเขา ขึ้นเที่ยวบินที่เช้าที่สุด บินตรงสู่เมือง J
ภายในเย็นวันนั้น พวกเขาก็ได้ถึงจุดหมายปลายทาง ญาธิดาพาอีธานและเอลล่ามุ่งตรงสู่แกรนด์ บูเลอวาร์ด
วินาทีที่คุณปภาวีเปิดประตูนั้น ถึงกับเบิกตากว้างอย่างรู้สึกอึ้ง เธอไม่คิดว่าผู้หญิงที่คุยกันในโทรศัพท์เมื่อวานนั้น จะมาอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับลูกๆ
“พวกลูก……พวกลูกกลับมากันทำไม?”
ญาธิดารู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางเล็กน้อย แต่ก็ยังฝืนยิ้ม พูดติดตลกว่า “ทำไมคะ? ไม่ต้อนรับหรือคะ?”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย พวกลูกกลับมาแม่จะไม่ต้อนรับได้หรอ!”
คุณปภาวียิ้มพลางจูงมืออีธานและเอลล่าเด็กน้อยทั้งสองเดินเข้าไปในบ้าน ญาธิดาสูดหายใจเข้า ก่อนจะเดินก้าวขาตามเข้าไป
ถึงแม้ว่าจะถึงเมือง Jแล้ว แต่ความกังวลในใจของเธอนั้นยังคงไม่สงบลง
ในขณะที่อีธานและเอลล่านั้นกำลังเล่นสนุกอยู่กับดร.ยติภัทรนั้น ญาธิดาก็ได้ลากคุณปภาวีปลีกตัวออกมา คุณปภาวีที่เห็นสีหน้าจริงจังของเธอ ก็พอจะเดาออกว่าเธอต้องการอะไร “ลูกอยากถามเรื่องของภวินท์?”
ญาธิดาสูดหายใจเข้า เธอรู้ตัวว่าไม่สามารถปิดบังคุณปภาวีได้ จึงพยักหน้ายอมรับ “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลสถิรานนท์กันแน่คะ?”
คุณปภาวีถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองได้ยินมาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันให้กับญาธิดา
ญาธิดาขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เธอรู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที จากนั้น เธอลองคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด เธอคิดว่าข่าวสารเวอร์ชันที่แม่เธอได้รับนั้น ความน่าเชื่อถือไม่ได้สูงขนาดนั้น
ยังไงแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้นั้น เป็นสิ่งที่คนอื่นอยากให้พวกเขารู้เท่านั้น
ช่วงกลางคืน เธอออกจากแกรนด์ บูเลอวาร์ด แล้วซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่ จากนั้นเธอก็ได้อ่านข่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นบนอินเทอร์เน็ตอีกหนึ่งรอบ เธอพยายามหาหลักฐานต่างๆ
ยังไงเธอก็ไม่เชื่อว่าภวินท์จะเสียชีวิตง่ายๆ แบบนี้
อีกอย่าง ในใจของเธอนั้นสันนิษฐานว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับภูผา
ระหว่างเลื่อนอ่านข่าวนั้น เธอก็รู้สึกเมื่อยตาเล็กน้อย
ทันใดนั้น มีบางอย่างผุดเข้ามาในหัวของเธอ เธอชะงักอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ใหม่ขึ้นมา
แล้วโทรหาโทรศัพท์เครื่องเก่าที่เธอได้ทำหายไป
เสียง “ตู๊ด
ตู๊ด” ดังอยู่สองสามครั้ง แสดงว่ายังโทรติดอยู่ แต่กลับไม่คนรับสายเสียงั้น
แต่ในวินาทีที่เธอกำลังจะกดวางสายนั้น ใครจะไปคิดว่าโทรศัพท์นั้นสั่น ฝั่งปลายสายกดรับสายเสียงั้น
เธอรู้สึกดีใจ แล้วรีบเอ่ยปากพูด “สวัสดีค่ะ?”
ฝั่งปลายสายกลับเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ญาธิดาชะงัก
รับรู้ถึงความผิดปกติ เธอรีบมองหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อยืนยันว่าสายยังไม่ถูกตัด แล้วรีบแนบหูอีกครั้ง แล้วลองถามว่า
“สวัสดีค่ะ? มีคนอยู่ไหมคะ?”
ปลายสายยังคงเงียบสนิทอย่างน่ากลัว ญาธิดาเริ่มรู้สึกกลัว รู้สึกว่าปลายสายกำลังฟัง แต่ไม่ตอบกลับเธอ
นี่มันแปลกมาก
ขณะนั้นเอง ปลายสายได้มีเสียงที่แหลมของผู้หญิงดังขึ้น
แต่เป็นเสียงที่อยู่ไกลออกไป ทำให้เธอไม่ค่อยได้ยิน
แต่เธอได้ยินประมาณว่า “วันนี้ฉัน……”
เสียงของผู้หญิงยังไม่พูดไม่ทันจบ ปลายก็รีบตัดสายอย่างไม่ลังเล
หัวใจของญาธิดาสั่นเล็กน้อย เธอรู้สึกเสียงผู้หญิงที่เธอได้ยินจากปลายสายนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนเป็นเสียงที่เคยได้ยินจากที่ไหน แต่จะให้เธอนึก ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหน
…..
และในขณะเดียวกัน ในห้องสมุดชั้นสองของบ้านพักชานเมือง ภูผามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาที่เยือกเย็น
เกล้าแก้วสูดหายใจเข้า รู้สึกผิดเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ครามได้ย้ำเตือนเธอแล้วว่า ก่อนเข้าห้องต้องเคาะประตูก่อน แต่วันนี้เธอกลับเดินโพล่งเข้ามาเลย
และเธอไม่รู้ว่าภูผากำลังคุยโทรศัพท์ แล้วดูจากสีหน้าของเขาแล้ว น่าจะเป็นสายสำคัญด้วย
เธอสูดหายใจเข้า และกำลังจะกล่าวขอโทษ “ขอโท……”
“ไม่เป็นไร”
ภูผายกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาปกติ แล้วยิ้มมุมปากใส่เธอ ยื่นมือทำท่าให้เธอเดินเข้ามา
เกล้าแก้วรู้สึกตกใจ ก่อนจะรีบก้าวขาเดินเข้ามา แล้วยื่นมือจับมือของเขาโดยอัตโนมัติ
ทั้งสองยังคงสวีทหวานเช่นเคย แต่เกล้าแก้วกลับรู้สึกว่าภูผามีเรื่องในใจมากมาย และเขาค่อนข้างหมกมุ่นกับเรื่องนี้
ตามคาด เพียงไม่นาน
ผมยังงานที่ต้องจัดการนิดหน่อย……”
ภูผาก็พูดกับเธออย่างจริงจังว่า “แก้ว
ความหมายแฝงนั้นก็คือ ให้เธอออกจากห้องไป
เกล้าแก้วที่อยู่เคียงเขามานาน ก็รู้ตัวอย่างธรรมชาติว่าเขาหมายความว่าอะไร เธอพยักหน้าอย่างรู้งาน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป
เพียงชั่วขณะ ภายในห้องที่กว้างใหญ่นั้นเหลือเพียงภูผาคนเดียว
แต่ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ครามเปิดประตูออกพร้อมพูดเสียงหอบ “คุณภูผาครับ
ยังคงหาไม่เจอครับ”
ทันใดนั้น
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที เขาจับแก้วแอลกอฮอล์ที่อยู่ด้านข้างขึ้นไว้อย่างแน่น พูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันเลี้ยงควายไว้เป็นฝูงหรือไง!
แค่ศพร่างเดียวยังหาไม่ได้”
ครามก้มหัว ไร้เสียงตอบกลับ
วันนั้น
เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ เพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติความสิ้นหวังเสียบ้าง เขาสั่งลูกน้องให้ทิ้งภวินท์ไว้หลังเขาเขารามเพื่อให้เขาได้ลิ้มลองความสิ้นหวัง
ในคืนที่ฝนตก พวกเขาเล่นงานภวินท์แทบตาย
แต่ใครจะไปรู้ว่า วันรุ่งขึ้น ตอนที่เขาให้คนออกไปหาศพของภวินท์ทั่วบริเวณนั้น กลับไม่เจอเสียงั้น
มันเป็นเรื่องที่น่าสงสัยที่สุด!
ถ้าพูดตามหลักการ ภวินท์ที่โดนเล่นงานขนาดนั้น บวกกับสิงโตที่ฉีดยาให้เขา
เขาไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน!
แต่ทำไมถึงหาศพไม่เจอกันนะ?
“คุณภูผาครับ หรือจะเป็นอย่างที่คุณบอกครับ? ร่างของเขาอาจจะโดนสัตว์ป่าคาบไป?”
ภูผาหัวเราะในลำคอ “ไร้เดียงสาจริงๆ! ฉันก็แค่หาข้ออ้างโง่ๆ แกกลับเชื่อเนี่ยนะ!”
ตอนนั้น
เขาเลยต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าภวินท์นั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว เขาเลยหาศพของคนที่ตายในคุก มาทดแทนศพของภวินท์
เขาแค่อยากจะเข้ารับตำแหน่งประธานSTN Groupอย่างราบรื่น
แต่ว่า การที่หาศพของภวินท์ไม่เจอนัน ทำให้เขาไม่สามารถสบายใจเช่นกัน!
ครามชะงัก แล้วพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะสั่งคนไปหาต่อนะครับ”
ได้ยินเช่นนั้น ภูผาถึงจะพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรตอบ
ทันใดนั้น
เขาก็คิดอะไรบางอย่างออก สายตาเขาหยุดลงที่โทรศัพท์บนโต๊ะ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา “ใช่สิ
ญาธิดากลับประเทศมาแล้วหรอ?”
“ครับ เพิ่งกลับมาวันนี้ครับ”
ภูผาหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน ความคิดบางอย่างผุดเข้ามาในหัว
หากเขาเดาไม่ผิด อีกสักพัก ญาธิดาต้องมาหาเขาแน่ๆ
และใช่เขาเดาไม่ผิด เช้าวันที่สอง ญาธิดาก็มาถึงSTN Group และต้องการคุยกับเขา
ประธานSTN Group ญาธิดามองตำแหน่งที่เดิมทีเป็นของภวินท์แต่วันนี้กลับเป็นคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงนี้ เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ภูผานั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีการลุกขึ้นมาทักทายเธอ เขามองเธอด้วยรอยยิ้ม พร้อมถามเสียงเบา “คุณญาธิดา มาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
ญาธิดายกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะใส่เขา สายตามองขาคู่นั้นที่นั่งไขว้กันอยู่ของเขา แล้วตอบเสียงเบา “ดูเหมือนว่าขาของคุณจะหายดีแล้วนะคะ”
ภูผาหัวเราะ แล้วตอบเสียงเบา “ได้เจอหมอดี รักษาแค่ระยะหนึ่ง ก็ดีขึ้นเลยครับ”
ญาธิดายกยิ้มมุมปาก
ขาของเขานั้นไม่หายตอนไหน ดันมาหายหลังจากที่ภวินท์หายตัวไปเนี่ยนะ นี่มันน่าตลกเป็นบ้า
เห็นได้ชัดว่า ขาของเขานั้นหายดีนานแล้ว แต่ที่เขาปิดบังมาตลอดนั้น ก็เพราะเขารอเวลานี้อยู่ไงหล่ะ รอภวินท์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับเขาเป็นเสาหลักที่พักพิงได้
ตอนที่ถ่ายหนังสั้นในกองถ่ายครั้งที่แล้ว เธอเคยเห็นขาของเขาขยับโดยไม่ตั้งใจ ตอนนั้นเธอก็แค่สงสัย แต่แท้จริงแล้วตอนนั้น ขาของภูผานั้นหายดีแล้ว
พอเห็นว่าเธอเงียบไปนาน ภูผาก็ยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆ พร้อมกับถามว่า “คุณญาธิดาที่มาหาผม ไม่ได้แค่จะมาถามเรื่องขาของผมหรอกใช่ไหมครับ?”
ญาธิดาเรียกสติตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอเงยหน้ามองดวงตาสีเหลืองอำพันของภูผา และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ภวินท์ตายแล้วจริงๆ หรอ?”