ดวงใจภวินท์ - บทที่522 ช่วยตามหาเขา
บทที่522 ช่วยตามหาเขา
พอได้ยินคำที่เขาเรียก ญาธิดาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี เธอชะงักไป และก็พูดออกมาเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันน่าจะแก่กว่านายแค่ไม่กี่ปี ต่อไปเรียกฉันว่าพี่ธิดาก็ได้!”
ดวงตาของพยัคฆ์เป็นประกาย และรีบพยักหน้าทันที
ระหว่างทางที่เดินทางกลับนั้น ญาธิดาพูดคุยกับพยัคฆ์ในรถ ถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเขาคือเด็กกำพร้าที่ภวินท์เคยส่งเสีย พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก หลังจากนั้นเขาก็ไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าอยู่หลายปี แต่เพราะว่าร่างกายที่ผอมแห้งของเขามันเลยทำให้เขาถูกรังแกอยู่บ่อยๆ ต่อมามีอยู่วันหนึ่งภวินท์ได้เจอเขาที่งานการกุศล ก็เลยส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ และพอเขาเรียนจบแล้วก็รู้สึกว่าอยากจะตอบแทนภวินท์ ก็เลยมาหาเขา และเป็นลูกน้องของเขา
พอได้ยินเรื่องราวของเขา ญาธิดาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลาหนึ่ง เธอยิ่งรู้สึกอยากจะตามหาภวินท์ให้เจอให้เร็วที่สุด ความเข้าใจผิด ความเหินห่าง และเรื่องที่ไม่มีความสุขต่างๆ ระหว่างพวกเขามันสลายหายไปมากหลังจากเจอเหตุการณ์นี้ และเธอก็เริ่มจะเข้าใจการที่เขาไม่สามารถทำตามใจตนเองได้ การที่มีเรื่องในใจที่พูดได้ยาก รวมถึงการวางแผนต่างๆ จากมุมมองของเขา
พอมาคิดแบบนี้แล้ว การตัดสินใจ หรือคำพูดที่ภวินท์ได้เคยทำหรือเคยพูดในอดีตนั้น มันไม่ได้ดูไร้เหตุผล หรือว่าไร้ความปรานีขนาดนั้น
ญาธิดาเงียบไปครู่หนึ่ง ทำจมูกฟุดฟิดและหันมามองพยัคฆ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างและเอ่ยปากถามว่า “นายมีเบาะแสอะไรบ้างไหม? หรือว่ารู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่สามารถช่วยได้บ้าง ลองบอกฉันมาหน่อย”
พยัคฆ์เงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ และพูดออกมาว่า “พอคุณภวินท์หายตัวไป พวกลูกน้องก็เป็นกังวลเหมือนกัน แต่ว่าโชคดีที่ยังมีพี่เข้มอยู่ ทุกคนก็เลยใจเย็นลงได้ เอาแต่รอคอยข่าวคราว หลังจากนั้นก็เห็นข่าวบอกว่าคุณภวินท์เสียชีวิตไปแล้วจากอุบัติเหตุ แต่ว่าพวกเราไม่มีใครเชื่อเลย ช่วงเวลที่ผ่านมาพวกเราก็พยายามตามหา แต่ว่าก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยครับ”
เขาคิดครู่หนึ่ง แล้วก็พูดต่อว่า “ตอนแรกพวกเราไปตามหาจากตำแหน่งเบอร์โทรศัพท์ของคุณภวินท์ แล้วก็พบว่าที่อยู่สุดท้ายนั้นมันอยู่ที่วัดเขาราม พวกเราไปตามหาที่นั่น แล้วก็ไปเจอโทรศัพท์ของคุณภวินท์ที่มุมของอุโบสถในวัด แถมยังมีเลือดติดอยู่เล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้เจออย่างอื่นเลย”
พอได้ฟังที่พยัคฆ์เล่า ญาธิดาก็รู้สึกกังวลขึ้นมาในทันที วัดเขาราม แถมโทรศัพท์ยังเลอะเลือดอีก คำพวกนี้พอเอามาปะติดปะต่อกันแล้ว ก็มีภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดในหัวของเธอทันที เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยว่าคืนนั้นภวินท์จะผ่านอะไรไปบ้าง แล้วหลังจากนั้นเขาไปอยู่ที่ไหนกัน?
“มีอะไรอีกไหม?”
ใบหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อย เธอมองไปที่พยัคฆ์พร้อมกับถามต่อ
พยัคฆ์ส่ายหน้า “หลังจากนั้นก็ไม่เจออะไรอีกเลยครับ”
“ใช่สิ นายเคยเห็นอันนี้ไหม? ”
ทันใดนั้นเธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็หยิบแท็ปเล็ตจากในรถขึ้นมาทันที พร้อมกับเสียบแฟลชไดร์ฟที่คัดลอกเอาไว้เข้าไป พร้อมกับเปิดคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลและส่งให้พยัคฆ์ดู
ในวิดีโอนั้น เป็นภาพที่พายุปรากฏตัวขึ้นมา
“เรียนเกี่ยวกับสำนวนค่ะ!”
“แล้วก็วิดีโอคอลกับพ่อด้วย!”
“……”
พอได้ยินพวกเขาแย่งกันตอบ ญาธิดาก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
แต่พอได้ยินพวกเขาพูดว่าได้คุยโทรศัพท์กับธีทัต
ก็เลยถามออกมาว่า “พ่อพูดกับลูกว่าอะไรบ้างเหรอ? ”
อีธานรีบตอบว่า “พ่อบอกว่าสุขภาพคุณน้าดีขึ้นเยอะมากเลย ไม่นานก็จะกลับมาแล้ว!”
พอได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของญาธิดาก็ค้างแข็งไปในทันที จู่ๆ เธอก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่
ถ้าเกิดว่าธีทัตกลับมาจากต่างประเทศ ก็ต้องรู้เรื่องที่เธอกำลังตามหาภวินท์อยู่อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้เขาฟังว่าอะไร
แต่ว่า มันก็เหมือนกับมีหินก้อนใหญ่อยู่ในหัวใจเธออีกก้อนหนึ่ง ทำให้เธอหายใจไม่ออก
หลังจากคุยกับลูกอยู่สักพัก เธอก็กล่อมพวกเขาให้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง แล้วตัวเองก็กลับไปคิดหาวิธีเงียบๆ ในห้องนอนของตัวเอง
ตอนนี้
สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดที่เธอสามารถทำได้ ก็คือต้องตามหาภวินท์ให้เจอให้เร็วที่สุด
วิธีการนี้เท่านั้น ที่จะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไป
ทั้งSTN คุณย่า แล้วก็รวมถึงครอบครัวเธอด้วย
การที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติต่างหาก คือตอนจบที่เธอต้องการมากที่สุด
ญาธิดานอนพลิกไปพลิกมาจนถึงเที่ยงคืน
เธอคิดอะไรเยอะแยะมาก แล้วก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างภายใต้แสงไฟที่สลัว เช้าวันที่สอง
หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วนั้น ก็รีบร้อนกินอาหารเช้า แล้วก็ตรงเข้าไปในเมืองทันที
เมื่อวานเธอคิดเกี่ยวกับคำพูดของพยัคฆ์อย่างจริงจัง แล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เธอจำเป็นต้องมาขอความช่วยเหลือจากหลุยส์ มีแค่วิธีการนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เจอตัวภวินท์ได้เร็วขึ้น
เมื่อก่อนเธอเคยได้รู้มาว่าหลุยส์ได้มีบาร์ที่โดดเด่นอย่างใจกลางเมือง ถึงแม้ว่าจะไม่มีช่องทางการติดต่อเขา แต่ว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้เจอเขา90%
พอไปถึงหน้าบาร์ ญาธิดาก็ยืนบื้อไปเลย
ประตูบาร์นั้นปิดสนิท ไม่ได้เปิดเลย และพอมาดูเวลาทำการนั้น ก็เผยให้เห็นว่าเวลาที่เปิดทำการนั้นคือช่วงบ่าย
เธอแอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ตอนที่ตัดสินใจจะกลับ รอมาใหม่ช่วงบ่ายนั้น พอหันหลังไปก็เห็นว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน และหลุยส์ก็ยืนอยู่ข้างๆ รถคนนั้น เขาพิงรถคนนั้นอยู่อย่างเกียจคร้าน มือคีบบุหรี่อยู่ และสายตาก็มองมาที่เธออย่างไม่ใส่ใจ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร จู่ๆ ญาธิดาก็รู้สึกเสียวสันหลัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว และมองเธอมานานแค่ไหนแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าและเดินเข้าไปหาเขา พร้อมกับยิ้มให้เขาและพูดว่า “คุณหลุยส์ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
หลุยส์มองมาที่เธอด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เขาสูบบุหรี่และพูดว่า “อย่าเรียกผมแบบนั้นเลยครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”
ญาธิดายิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนที่กำลังคิดว่าจะพูดเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาอย่างไรนั้น ไม่คิดเลยว่าหลุยส์จะพูดออกมาก่อนว่า “มาเพราะเรื่องของภวินท์เหรอครับ? ”
พอได้ยืนดังนั้น ญาธิดารีบพยักหน้าทันที “ใช่ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นเพื่อนสนิทเขา ฉันรู้ข่าวมาว่า เขายังไม่ตาย แต่ว่าหายตัวไป ฉันก็อยากถามว่าคุณพอจะช่วยตามหาเขาได้ไหมคะ? ”
พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ จู่ๆ หลุยส์ก็หลุดหัวเราะออกมาดังพรืด
“ให้ผมช่วยตามหาเขางั้นเหรอ? ไม่ได้เข้าใจผิดอะไรใช่ไหม? ”