ดวงใจภวินท์ - บทที่527 เพื่อนกันตลอดไป
บทที่527 เพื่อนกันตลอดไป
ภวินท์หลุบตาลง สายตามองไปยังอาหารเหล่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาเงยหน้าขึ้นมองหลุยส์ แล้วก็พูดอย่างตำหนิว่า “แกก็รู้อยู่แล้วหนิว่าเจ้าอาวาสวัดย้ำแล้วว่า ห้ามแตะต้องแอลกอฮอลล์หรือเนื้อสัตว์”
หลุยส์ยิ้ม “ร่างกายแก ถ้าเกิดว่าไม่กินเนื้อสัตว์หน่อยแล้วมันจะฟื้นฟูได้ยังไงกันล่ะ? ปกติที่แกบอกว่าไม่กินเนื้อสัตว์น่ะ ฉันก็จะคิดวิธีให้พายุละลายเนื้อในโจ๊กให้แกอยู่เสมอ หรือไม่ก็ต้มในซุป”
พอได้ยินหลุยส์พูดแบบนี้ ภวินท์ก็ตาเบิกโพลงในทันที แล้วก็หันไปมองพายุที่อยู่ด้านข้าง เหมือนกับว่าต้องการการพิสูจน์คำพูดของหลุยส์
สายตาของพายุดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นปากของเขาก็กระตุก และพูดว่า “เรื่องจริงครับ”
ตอนแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และเจ้าอาวาสวัดรับตัวมาดูแล ท่านเจ้าอาวาสก็เน้นย้ำว่าถ้าเกิดว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ ต้องเคารพกฎของวัด ข้อแรกคือห้ามแตะต้องแอลกอฮอลล์หรือเนื้อสัตว์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ภวินท์ก็ไม่เคยได้แตะต้องเลย
แต่ว่าหลังจากนั้นพอมาคิดเกี่ยวกับร่างกายของเขาแล้ว หลุยส์กับพายุก็แอบเสริมสารอาหารต่างๆ ให้เขา อยากให้สุขภาพของเขาฟื้นฟูให้เร็วที่สุด ก็เลยทำอะไรบางอย่างกับอาหารของเขาทุกวัน ส่วนภวินท์เองก็ไม่รู้อะไรเลย
“พวกแก……”ภวินท์หน้าซีดในทันที “ชอบก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ เลย!”
เขาอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว รู้สึกว่าตัวเองไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าอาวาสวัด แล้วก็คิดว่าตัวเขาเองไม่มีอะไรที่จะสามารถตอบแทนได้เลย และตอนนี้พอได้รู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำตามกฎได้ ก็เลยรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
หลุยส์เห็นว่าเขาเริ่มโมโห ก็รีบเกลี้ยกล่อมว่า “โอเคๆๆ ฉันจะบอกความจริงก็ได้ ความจริงแล้วเรื่องนี้เจ้าอาวาสวัดก็รู้อยู่!ฉันเคยเรียนท่าน ว่าแกต้องฟื้นฟูร่างกาย สุดท้ายท่านก็เลยอนุญาตโดยปริยาย แค่ให้เก็บความลับจากพวกเณรเท่านั้นเอง”
พอได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็เม้มปากแน่นไม่ยอมปล่อย แต่พอเห็นท่าทางของหลุยส์ ที่ดูเหมือนไม่ได้โกหกอะไร เขาก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลุยส์เห็นว่าเขาเริ่มโมโห ก็รีบเกลี้ยกล่อมว่า “โอเคๆๆ ฉันจะบอกความจริงก็ได้ ความจริงแล้วเรื่องนี้เจ้าอาวาสวัดก็รู้อยู่!ฉันเคยเรียนท่าน ว่าแกต้องฟื้นฟูร่างกาย สุดท้ายท่านก็เลยอนุญาตโดยปริยาย แค่ให้เก็บความลับจากพวกเณรเท่านั้นเอง”
พอหลุยส์เห็นว่าเขาไม่ได้โกรธอีกต่อไปแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารีบเรียกให้พายุมานั่งด้วยกันบนม้านั่ง แล้วก็เทเหล้าให้พวกเขา
“จะว่าไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ดื่มด้วยกันมานานแล้วเหมือนกันนะ”
พอพูดจบ เขาก็ยกแก้วขึ้นมาเหมือนจะชนแก้ว ตอนแรกภวินท์ก็ไม่สนใจ แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เลยยกแก้วขึ้นมาชนแก้วกับเขาด้วยเหมือนกัน
จะว่าไปแล้ว หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ เขาได้แต่จมอยู่กับความมืดมัว
ทุกความรู้สึกหม่นหมองที่มันอัดแน่นอยู่ในใจ มันไม่สามารถแสดงออกเพื่อระบายมันให้ออกไปได้เลย
เขายกแก้วขึ้นมา จ้องไปที่ของเหลวสีใสในแก้ว หลังจากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มจนหมด
ของเหลวเย็นๆ ไหลลงคอเข้าสู่ท้อง และไม่นานก็เหมือนมีไฟปะทุขึ้นในท้อง
ห่างหายไปนาน จนรู้สึกไม่คุ้นเคย
เหล้าสามแก้วไหลเข้าท้องไป บรรยากาศบนโต๊ะค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างมาก เหมือนกับว่าฤทธิ์ของเหล้ามันทำให้คำพูดของภวินท์เยอะขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสามคนพูดคุยกัน และก็ไม่ได้มีใครพูดถึงปัญหาในปัจจุบันเลย อย่างเช่นสถานการณ์ของSTN Groupในเมือง J ตอนนี้ หรือแม้แต่เรื่องขาทั้งสองข้างของภวินท์
ทั้งสามคนไม่พูดถึงเรื่องราวที่เลวร้ายเหล่านั้น แต่ว่าพูดคุยและหัวเราะในเรื่องอื่น อยู่ๆ มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนเป็นวัยรุ่น ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น
แล้วก็เห็นว่าขวดเหล้าทั้งสองขวดที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นใกล้จะหมดแล้ว ภวินท์ยื่นมือออกไป หยิบเหล้าขวดนั้นขึ้นมา และเทให้ตัวเองจนเต็มแก้ว หลังจากนั้นก็หันไปมองหลุยส์ และสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นเรื่อยๆ
“หลุยส์ แก้วนี้ดื่มให้แก”
หลุยส์ชะงักไป ไม่ได้คาดคิดว่าจู่ๆ เขาจะจริงจังขึ้นมา “วิน ระหว่างพวกเรา……”
ไม่รอให้หลุยส์ได้พูดอะไร ภวินท์ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ต่อให้เราจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ว่าก็ต้องพูดคำว่าขอบคุณ”
ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลุยส์ เขาก็คงจะถูกหมาป่าคาบไปแล้ว แม้แต่เศษกระดูกก็คงไม่เหลือ
ถึงแม้ว่า มีช่วงเวลาหนึ่งก่อนหน้านี้ที่พวกเขาตัดขาดกันไป มิตรภาพที่สั่งสมมาหลายปีพังทลายลงไป แต่ว่าหลังจากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เพื่อนรักอย่างเขามันตัดกันไม่ขาดหรอก
ตอนนั้น เขาถูกคนของภูผากับสิงโตรุมทำร้าย กะเอาถึงตาย ซี่โครงหัก ขาหัก เลือดไหลเต็มตัวไปหมด ทั้งร่างกายไม่มีอะไรที่ดีเลย เขาถูกโยนไปในภูเขา เหมือนร่างกายครึ่งหนึ่งพิการไปเลย
ตอนนั้น เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ตอนที่สติเลือนรางนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว พยายามอดทนยาวจนถึงกลางดึก จนกระทั่งมีแสงหนึ่งปรากฏขึ้น
วินาทีที่หลุยส์ปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้น เขายังคิดว่าตัวเองฝันไปอู่เลย
เพราะว่าพวกเขาพูดกันอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นมันหยุดชะงัก แต่ว่าสุดท้ายแล้ว หลุยส์ก็ก้มตัวลงตรงหน้าเขา สายตาดูร้อนรน แล้วก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง “ภวินท์ ทนเอาไว้นะ!”
เขาพูดต่อว่า “แกลืมสิ่งที่พวกเราเคยคุยกันไปแล้วเหรอ!”
“ผ่านร้อนผ่านหนาวไปด้วยกัน เป็นเพื่อนรักกันตลอดไป!”
“……”
หลังจากนั้น ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องเก่าๆ ที่ทรุดโทรม ต่อมาก็ได้รู้ว่า เขาถูกส่งตัวมาที่กุฏิในวัด
สถานปฏิบัติธรรมเขารามเดิมถูกสร้างขึ้นโดยคนของวัดเขารามเพื่อให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมได้ฝึกสมาธิและบำเพ็ญตบะ เพื่อที่จะมั่นใจในความเงียบและความเป็นส่วนตัว ก็เลยเลือกที่จะมาตั้งอยู่ในภูเขาลึกในเขาราม ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้เท่าไหร่
หลังจากนั้น วัดเขารามก็เริ่มเสื่อมลง ผู้คนก็ไม่ค่อยมาปฏิบัติธรรม พระในวัดก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป เหลือแค่เจ้าอาวาสท่านเดียวเท่านั้น แล้วก็ยังมีพวกเณรสองสามองค์ที่ท่านรับอุปการะมาตั้งแต่เด็ก พวกท่านก็เลยย้ายจากวัดนั้นมาอยู่ที่นี่ ปลีกตัวจากโลกภายนอก
ก็เป็นแบบนี้เรื่อยมาก จนตอนนี้พวกท่านอาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว อยู่อย่างสงบแต่ก็มีอิสระและมีความสุข
พอได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส ภวินท์ก็เลยอยู่ที่นี่ บางทีหลุยส์ก็จะให้ลูกน้องมาส่งเสบียงข้าว ข้าว บะหมี่ น้ำมัน ฯลฯ และไปเยี่ยมเขาตอนกลางคืนเป็นครั้งคราวเพื่อดูอาการ
เพียงแค่พริบตาเดียว ก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว
และตอนนี้ ขาทั้งสองข้างของภวินท์ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย
ตอนนี้ พอหลุยส์ได้ยินคำขอบคุณจากภวินท์ ก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขายกแก้วขึ้นมาชนแก้วกับเขา หลังจากนั้นก็คลี่ยิ้ม และมองไปที่ขาของภวินท์
ภวินท์นั่งอยู่บนรถเข็นไม้ มันทำมาจากไม้ที่หลวงพ่อที่ทำหน้าที่กวาดวัดและตีระฆังกับพวกเณรช่วยกันทำมาให้เขา มันดูลวกๆ แต่ว่าก็ใช้การได้
หลุยส์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “วิน ขาทั้งสองข้างของแก ต้องได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ ไม่งั้น……”
เขากลืนน้ำลาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ถ้าเกิดว่ายังปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้ เกรงว่าขาทั้งสองข้างของเขาจะพิการเอาได้
สายตาของภวินท์มืดมน หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังที่ไกลๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
พายุที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเข้ากัน และก็พูดเกลี้ยกล่อมว่า “เขาพูดถูกแล้ว วิน ขาทั้งสองข้างของนายมันปล่อยให้ล่าช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”
สายตาของภวินท์อ่อนลงเล็กน้อย ใช้สองนิ้วในการหนีบแก้วขึ้นมา และจิบเหล้าลงไป “รักษาหายแล้วยังไงต่อ? มันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้งั้นเหรอ? ”
หรือว่าถ้าเกิดว่ารักษาขาจนหายแล้ว สิ่งที่สูญเสียไปมันจะกลับมาได้อย่างนั้นเหรอ? มันจะสามารถลบล้างความล้มเหลวในอดีตได้รึเปล่า? คนที่เลือกที่จะจากไปจะกลับมางั้นเหรอ?
หลุยส์มองไปที่เขาไม่ขยับเขยื้อน สุดท้ายสายตาของเขาก็ดูเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าอยากจะให้เขาได้ดี
แต่ไหนแต่ไรมาภวินท์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่หวาดกลัว ไม่หวั่นเกรงต่ออนาคต และไม่มีทางลังเลกับอะไร แต่ว่าตอนนี้ เขาเปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปเยอะด้วย
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปนานก็ไม่มีใครพูดอะไร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน สายตาของหลุยส์ก็มืดมน จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ภวินท์แล้วค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ “วิน ญาธิดา เธอกลับมาแล้ว”