ดวงใจภวินท์ - บทที่528 ไม่อยากกลับไปแล้ว
บทที่528 ไม่อยากกลับไปแล้ว
ประโยคนี้ สามารถทำให้ดวงตาที่มืดมนของภวินท์สั่นคลอนได้อย่างสำเร็จ เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลุยส์ หลังจากนั้นก็ละสายตาไปอีกครั้ง เหมือนกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น สนใจแต่จะดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่ต้องการจะพูดอะไร
หลุยส์รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที เขายื่นมือออกไปจับแก้วที่ภวินท์กำลังจะยกดื่มเอาไว้ แล้วก็พูดออกมาอย่างหนักแน่น “ฉันพูดจริงนะ เธอกลับมาแล้วจริงๆ !กลับมาอาทิตย์ที่แล้ว สองวันก่อนยังมาหาฉันอยู่เลย!”
พอได้ยินดังนั้น ดวงตาของภวินท์ก็สว่างขึ้นเล็กน้อย เขาเม้มปากและถามว่า “มาหาแกทำไม? ”
สายตาของหลุยส์มืดมน หลังจากนั้นก็พูดออกมาทีละคำว่า “เธอมาถามฉันว่านายอยู่ไหน”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของภวินท์ก็ดูซับซ้อน และริมฝีปากก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แต่ไม่ได้พูดอะไร
ตอนแรกเธอก็จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็กลับมาแถมยังมาตามหาเขาอีก นี่มันละครอะไรกัน แสร้งปล่อยเพื่อจับงั้นเหรอ? สร้างบาดแผลในใจให้เขา และสุดท้ายก็มาพันแผลให้ แต่ว่าแผลนี้มันยังเจ็บ เลือดยังไหลอยู่เลย
หลุยส์พูดต่อว่า “วิน พวกเราออกจากที่นี่ไปกันเถอะ รักษาขาแกให้หายดีก่อน หลังจากนั้น ถ้าเกิดว่าแกต้องการ ฉันจะช่วยแกเอาทุกอย่างที่เป็นของแกกลับมาเอง”
ภวินท์เงียบ แต่ผ่านไปนานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ก็เหมือนกับว่าเขาได้เดินผ่านประตูนรก มันทำให้เขาเข้าใจอะไรหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง สิ่งที่เคยแคร์ ตอนนี้มันก็เริ่มจืดจางไปแล้ว ตอนนี้ สิ่งที่เขารู้สึกคือเหนื่อยล้ามากกว่า
จากการซ่อนตัวในวัดมาเดือนกว่า ถึงแม้ว่าตอนเริ่มต้นมันจะเจ็บปวดและทรมาน แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็ได้รับความสงบที่มันหาได้ยาก
ครึ่งเดือนแรก พายุยังหนีออกมาจากภูผาไม่ได้ หลังจากที่หลุยส์จัดแจงให้เขามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็มาบ่อยๆ ไม่ได้ เขาอยู่คนเดียว ทุกครั้งตอนที่รู้สึกเจ็บปวดที่สุด เจ้าอาวาสวัดจะเทสธรรมะให้เขาฟัง พระที่ทำหน้าที่กวาดลานวัดนั้นก็อายุมากแล้ว ท่านหลังค่อมมาก บุคลิกเงียบขรึม สีหน้าเย็นชาดูแปลกประหลาด แต่ว่าท่านคือคนที่อบอุ่นที่สุด มักจะนำซุปร้อนๆ และข้าวมาวางไว้ที่โต๊ะ แล้วก็เตรียมผ้าห่มและเสื้อผ้าที่เขาต้องใช้เอาไว้ให้ แล้วก็พวกเณร ซุกซนแต่ใสซื่อบริสุทธิ์ ดวงตาใสสะอาดและไม่มีสิ่งเจือปน
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก ต่างก็เป็นคนที่อบอุ่น เรียบง่าย และจริงใจ ไม่เหมือนกับพวกนักธุรกิจและคนดังรอบตัวเขาที่เมือง J ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่จริงๆ กลับซ่อนมีดเอาไว้เบื้องหลัง เขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด แต่ว่าที่นี่ เขารู้สึกประทับใจกับความปกติธรรมดาระหว่างผู้คนของที่นี่ บางทีเขาก็มีความรู้สึกว่า 20-30 ปีที่ผ่านมาในชีวิตนั้นมันช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน
และบังเอิญมีลมพัดมาพอดี ภวินท์สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างนิ่งเรียบว่า “ที่นี่ดีมากแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปแล้ว”
พอหลุยส์ได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันในทันที พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หวังดี “วิน แกต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้พ่อของแกหายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แถมย่าของแกยังถูกคนของภูผาจับตามองอีก ตอนนี้ทรัพย์สินของตระกูลสถิรานนท์ทั้งหมดตกอยู่ในมือลูกนอกสมรสที่แกเกลียดที่สุด ถ้าเกิดว่าฉันเป็นแก จะต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้งอย่างแน่นอน และแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา!”
พอภวินท์ได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขยับเล็กน้อย ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องคิดอย่างนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ เมือง Jมันไม่มีอะไรมีค่าพอที่จะให้เขากลับไปได้อีกแล้ว
เหมือนกับรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ หลุยส์ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องกัดฟันพูดออกมา เขากระแอมออกมาครั้งหนึ่งและพูดว่า “วิน พูดตามตรงนะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบแกคบกับญาธิดาเท่าไหร่ แต่ฉันรู้สึกได้ว่า ในใจของผู้หญิงคนนั้นมีแกอยู่”
เมื่อก่อนเขาเคยคิดวิธีทุกอย่างเพื่อให้ญาธิดาไปจากภวินท์ แต่ว่าตอนนี้เขาก็พบแล้วว่า ถ้าเกิดว่าไม่มีญาธิดา ภวินท์ก็เหมือนกับจะเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน พังทลายไปหมด
ภวินท์ขยับคิ้ว สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากเงียบอยู่หลายวินาที เขาก็พูดออกมาว่า “งั้นแก พาเธอมาเจอฉันหน่อย”
เขาอยากเจอเธอ แล้วก็ถามคำถามที่มันติดค้างอยู่ในใจมาตลอดทั้งเดือน
เมื่อเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เขาถูกคนของภูผาโยนเข้ามาในป่า ตอนที่กำลังจะใกล้ตายนั้น ในหัวก็ปรากฏใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
ในอดีต เขาพยายามยับยั้งชั่งใจ และแข็งกร้าว เพื่อดับเปลวไฟที่ก่อตัวในหัวใจเก็บเข้าใส่ตะกร้าไป แต่ว่าอารมณ์ความรู้สึกนั้น มันไม่สามารถควบคุมได้เลย หลังจากที่เขาได้ผ่านความเป็นความตายมา ก็ตระหนักได้ว่า ที่แท้การที่เขารู้สึกแคร์เธอมันเป็นเพราะว่าอารมณ์ความรู้สึกผูกพันนั่นเอง
เขาเคยมั่นใจ 100%ว่าจะไม่ใจสั่นให้กับเขา แต่ตอนนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เขาควบคุมไม่ได้ และบังคับตัวเองไม่ได้เลย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปมองหลุยส์ พร้อมกับพูดประโยคเมื่อกี้ซ้ำเดิมว่า “พาเธอมาเจอฉันหน่อย”
หลุยส์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าสายตาของเขาเริ่มกลับมามีแสงสว่างอีกครั้ง ก็ใจเต้นเล็กน้อย ทำได้แค่เพียงตอบไปว่า “โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันกลับไปแล้วจะไปเจอเธอ แล้วก็พยายามพาเธอมาที่นี่ตอนกลางคืน”
“อืม”ภวินท์ตอบ หลังจากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ดึกแล้ว ควรพักผ่อนได้”
และเสียงนาฬิกายามกลางคืนในโบสถ์ก็ดังขึ้นพอดีอย่างสบายๆ
ภวินท์หรี่ตาลง รู้สึกเหมือนกับว่าได้ผ่อนคลายลงไปเยอะมาก เขาค่อยๆ เข็นรถเข็นกลับไปที่ห้องตัวเองช้าๆ
แต่ว่า เขานึกไม่ถึงเลยว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาได้อยู่ที่นี่แล้ว
วันถัดมา ญาธิดาตื่นขึ้นมาแต่เช้า นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงอยู่นาน
เธอฝันยาวนานมาก ในฝันนั้นเธอปีนข้ามภูเขา และในที่สุดก็ได้เจอกับภวินท์ แต่พอเขาหันกลับมานั้น ทั้งร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด เธอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ และสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นก็มีแต่เลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เธอตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้นด้านหลังของชุดนอนเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอรีบลุกขึ้นมาล้างหน้า แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพยัคฆ์ทันที
และเขาก็รับสายอย่างรวดเร็ว “พี่ธิดา”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ “พยัคฆ์ คุยกับพวกพี่เข้มรึยัง? ”
เมื่อวานเธอบอกกับพยัคฆ์ว่าวันนี้จะขึ้นไปบนเขากัน ถ้าเกิดว่าพวกเขาเตรียมพร้อมแล้ว เธอก็สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา”
“บอกแล้วครับ แต่ว่ามีเพื่อนบางคนไม่ยอมไป พี่เข้มก็ไม่ได้พูดอะไร ได้เตรียมคนอื่นไว้ แล้วก็ไม่ได้ให้พวกเขาไปด้วย”
พอได้ยินดังนั้น หัวใจของญาธิดาก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาในทันที เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไม่บังคับ ถ้าเกิดว่าคนน้อย พวกเราก็ไปหาเพิ่มขึ้นอีกวันสองวันก็ได้”
พอเธอพูดจบ จู่ๆ พยัคฆ์ก็พูดออกมาอย่างลังเล “พี่ธิดา ช่วงเวลาที่ผ่านมาทุกคนลำบากกันมาก แถมตอนนี้พวกเขาก็มองไม่เห็นความหวังอะไรเลย ก็เลย……”
ประโยคถัดมา ต่อให้พยัคฆ์ไม่พูด แต่ญาธิดาก็ย่อมเข้าใจดี เธอหัวเราะเบาๆ และปลอบเขาว่า “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
ตอนนี้ไม่รู้ว่าภวินท์เป็นหรือตาย อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และพวกเขาก็ต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองด้วย นี่คือเรื่องปกติทั่วไปของมนุษย์เรา แน่นอนว่าเธอเข้าใจดี
“พยัคฆ์ นายคิดว่ายังไงก็บอกฉันได้นะ”
พยัคฆ์ที่อยู่ปลายสายนั้นรีบอธิบายทันที “ผมไม่มี!พี่ธิดา ผมไม่เป็นอะไรเลย ขอแค่ตามหาคุณภวินท์เจอ เรื่องอื่นผมไม่สนใจทั้งนั้น!”
ตอนแรก ถ้าเกิดว่าไม่ได้ภวินท์ เขาก็ไม่มีวันนี้หรอก ภวินท์พาเขาออกมาจากทะเลแห่งความทุกข์ยาก ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิต เขาก็ยังคงเต็มใจ
พอญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถ้ายังงั้นก็ถือว่าพวกเราตกลงกันแล้วนะ อีกสองชั่วโมง นายมารับฉันที่แกรนด์ บูเลอวาร์ดนะ แล้วพวกเราไปขึ้นเขากัน”
พยัคฆ์ตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว “ครับ!”
หลังจากวางสาย ญาธิดาก็กำโทรศัพท์แน่น
สรุปแล้ว เธอก็ต้องขึ้นไปบนเขารามให้ได้ เธอรู้สึกว่าที่นั่นต้องมีเบาะแสอะไรอยู่อย่างแน่นอน!