ดวงใจภวินท์ - บทที่611 ถูกคนแอบถ่าย
ร้านแพลนท์เวิลมีทั้งหมดสี่ชั้น ด้านล่างชั้นสามเป็นกำแพงสีขาวบริสุทธิ์ หน้าต่างโปร่งแสง และชั้นบนสุดเป็นกระจกใสเหมือนห้องกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นความเขียวชอุ่มได้จากภายนอก ภายในมีพืชพรรณนานาชนิดพันกัน ค่อนข้างสะดุดตาทีเดียว
เมื่อชวิศที่เดินเข้ามาในลาน ญาธิดาก็ถูกดอกไม้พืชพันธุ๋ทั้งสองข้างดึงดูดความสนใจไปแล้ว นางอดไม่ได้พูดออกมาว่า “นี่คือต้นกระบองเพชรชนิดไหนกัน เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกเลย”
สองข้างทางของถนนหินมีกระบองเพชรหลากหลายชนิด มีทั้งกระบองเพชรกลมและกระบองเพชรยาว มีทั้งสูงและเตี้ย บางต้นก็เริ่มมีดอกสีเหลืองอ่อนเบ่งบาน เห็นได้ชัดว่าแตกต่างออกไปจากกระถางเล็กที่ปลูกไว้ที่บ้านอย่างชัดเจน
ชวิศยิ้มอ่อนๆ “เข้าไปดูกันเถอะ ด้านในยังมีหลายชนิดที่ยังไม่เคยเห็นนะ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว ก็รีบตามเขาเข้าไป
เพิ่งเข้าไป ญาธิดาก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ทั้งชั้นเต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิดที่ปลูกเอาไว้ ตรงกลางมีต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเบ่งบานแตกกิ่งออกกลับปลูกอยู่ในดิน ด้านข้างยังมีแปลงดอกไม้ด้วย
ทั้งห้องเต็มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด บ้างก็ใหญ่และเล็ก บ้างก็รูปทรงแปลกประหลาด บ้างก็มีกลิ่นหอมโชยออกมาจางๆ บ้างก็จัดวางอยู่บนโต๊ะ บ้างก็ปลูกอยู่ในกระถางดอกไม้ ค่อนข้างพิเศษและหาดูยากมาก
ญาธิดาอดไม่ได้พูดว่า “สวยจริงๆ……”
ชวิศมองดูเธอแล้วยิ้ม เลือกโต๊ะแล้วนั่งลง ต่อมาก็ยื่นเมนูอาหารให้เธอ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ดูสิอยากดื่มอะไร”
ญาธิดาพยักหน้า รับเมนูที่หน้าปกที่วาดรูปพืชพันธุ์นานาชนิดไว้เต็มไปหมด เปิดข้างในออกช้าๆ ด้านในมีเครื่องดื่มทุกอย่าง ต่างก็ตั้งชื่อด้วยชื่อของพืชพันธุ์ ไม่ซ้ำใครและเต็มไปด้วยความลึกซึ้งด้วย
ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามา ยิ้มแล้วทักทายชวิศ “ไอ่วิศ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ! มาแล้วทำไมไม่มาทักทายล่ะ?”
ต่อมา คนคนนั้นก็มองไปที่ญาธิดา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “หื้ม สาวสวยคนนี้คือใคร? ดูไม่คุ้นหน้าเลยนะ!”
ชวิศยิ้มแล้วแนะนำว่า “เพื่อนฉันเอง ญาธิดา”
ญาธิดาเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มมีรูปหน้าทรงกลม ใบหน้าใจดีและอ่อนโยน ถึงแม้จะไม่ยิ้มบนใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มแขวนอยู่ตลอดเวลา
ไม่รอชวิศแนะนำ ผู้ชายคนนั้นก็ยื่นมือมาให้ญาธิดาก่อนเลย “สวัสดีครับ ผมดนุช เป็นเพื่อนทหารของชวิศครับ”
ญาธิดายิ้มแล้วจับมือทักทายเขา “สวัสดีค่ะ”
ดนุชพูดอย่างเป็นมิตรว่า “พวกเธอรีบดูสิว่าอยากดื่มอะไร?”
ญาธิดาเลือกเครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในเมนู จากนั้นก็พูดกับดนุชว่า “เอาอันนี้แล้วกัน”
“ฉันเอาเหมือนเดิม”
“ได้เลย รอสักครู่นะครับ” ดนุชพูดแล้ว ทันใดนั้นก็ต่อยหมัดชวิศเบาๆ “ไอ่วิศ ไม่เจอกันนานเลยนะ ไว้นัดกันดื่มสักแก้วสิ!”
ชวิศยิ้มแล้วพูดว่า “ได้อยู่แล้ว ไว้นัดกันนะ”
ดนุชรับเมนูมากลับหลังเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ตอนนี้เอง ญาธิดาก็ถึงเห็นว่า ตอนที่ดนุชเดิน มีขาข้างหนึ่งที่พิการอยู่
ชวิศเห็นสายตาของเธอก็พูดอธิบายเสียงเรียบว่า “ดนุชเป็นเพื่อนร่วมรบของผม ก่อนหน้านี้บาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจ หลังจากนั้นขาก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เขารู้สึกเสียใจและไม่อยากเป็นภาระของพวกเรา เลยขอออกจะกองทัพก่อน กลับมาแล้วก็เปิดร้านนี้ด้วยเงินบำนาญที่กองทัพให้”
ได้ยินดังนี้แล้ว สายตาของญาธิดาก็มีความรู้สึกผิดหวังปรากฏขึ้นมา เธอมองดูรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “คนที่เปิดร้านนี้ได้ ต้องเป็นคนใจดีมากแน่ๆ”
ชวิศหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน นอนในป่าเป็นเดือน เจ้าหมอนี่ก็หลงใหลในพืชพันธุ์ตั้งแต่ตอนนั้นมา ดังนั้นพอกลับมาแล้ว เขาก็เปิดร้านที่เขาใฝ่ฝัน”
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ ฟังเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกใจอ่อนลงทันที
เธอมองดูรอบๆ แล้วอดไม่ได้ถามต่อว่า “แต่สภาพการเจริญเติบโตของพืชในเขตภูมิอากาศต่างกันไม่ใช่เหรอ? พวกมันจะอยู่รอดที่นี่ได้ยังไง? และพืชพวกนี้ก็ปลูกอยู่ในบ้านโดยที่ไม่มีแสงแดดสาดเข้ามา พวกมันจะอยู่รอดได้เหรอ?”
“คุณสงสัยเยอะเหมือนกันนะ” ชวิศหัวเราะ ต่อมาก็ชี้ไปที่ท่อข้างบน “เห็นท่อพวกนั้นไหม?”
ญาธิดาพยักหน้า
“ที่จริงแล้ว แนวความคิดของสวนในร่มมีมานานแล้วในต่างประเทศ บางคนได้ทำการวิจัยไม้ยืนต้นโดยผ่านเพดานที่ใช้วัสดุพิเศษและท่อขนาดเล็กพิเศษ โดยสามารถดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตและพลังงานแสงอาทิตย์แล้วฉายรังสีเข้ามาในที่ร่ม วิธีนี้จะทำให้พืชสามารถอยู่รอดได้ ไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนพืชที่มาจากภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ดนุชก็จัดการแบ่งเขต ส่วนใหญ่ พืชที่มีค่าจะอยู่ชั้นบนที่มีภูมิอากาศแตกต่างออกไป จะไม่เอาไว้ข้างล่างแบบนี้”
ได้ยินดังนั้นแล้ว ญาธิดาก็เข้าใจได้ทันที “ดูแล้ว เขาคงจะรักพืชมากเลยนะ”
ชวิศพยักหน้า “จะบอกว่าเขาหาเงินจากร้านนี้ บอกว่าเขาทำไปเพื่อความชอบของตัวเองจะดีกว่า”
ตอนนี้เอง ดนุชยกถาดเดินเข้ามา วางเครื่องดื่มที่แตกต่างกันไว้ตรงหน้าพวกเขา แล้วพูดคุยกับพวกเขาอีกสักหน่อย เขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากเคาน์เตอร์บาร์ ก็รีบเดินไปทันที
ญาธิดาเงยหน้ามองแผ่นหลังที่น่ารักของดนุชที่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้กระตุกยิ้มมุมปาก ต่อมาเธอก็เลื่อนสายตา สบตากับชวิศเข้าพอดี
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่ดีมากเลยนะ ขอบใจที่นายพาฉันมาที่นี่นะ ครั้งหน้าฉันจะพาลูกชายลูกสาวมาดูด้วย”
ได้ยินแล้ว สีหน้าของชวิศไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เขาดื่มเครื่องดื่มแล้วพูดเสียงเบาว่า “บ่มเพาะให้เด็กๆรักในธรรมชาติแต่เด็กก็ดีเหมือนกันนะ”
อีกด้าน นิวรากับมิกกี้นั่งอยู่โต๊ะข้างหลัง แอบมองญาธิดาผ่านช่องว่างที่หนาแน่นของพืชพันธุ์ ยังไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่าย
ตอนนี้เอง ดนุชก็เดินเข้ามา เห็นท่าทีของพวกเธอ สีหน้าก็เย็นชาลงมาทันที “พวกคุณสองคนถ่ายอะไรอยู่?”
มิกกี้ตกใจ รีบเก็บโทรศัพท์อย่างร้อนรน
นิวราที่อยู่ข้างๆไม่มีสีหน้าลุกลี้ลุกลนอะไร เธอยิ้มแล้วพูดว่า “พืชที่นี่ดูแปลกใหม่ดี ฉันกับเพื่อนยังไม่เคยเห็น เลยจะถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เธอไม่ร้อนรนอะไรเลย เงยหน้าสบตากับเขา ยังตั้งใจเอารูปพืชให้เขาดู
ดนุชมองดูพวกเธอ แล้วมองพืชข้างๆ สีหน้าอ่อนลงมาเล็กน้อย “ถ่ายพืชอยู่นี่เอง ผมเห็นพวกคุณทำท่าลับๆล่อๆ คิดว่าพวกคุณกำลังถ่ายใครอยู่เสียอีก?”
นิวรายิ้มแล้วกวาดตามองมิกกี้ “ไม่หรอก? เพื่อนฉันคิดว่าที่นี่ถ่ายรูปไม่ได้ ดังนั้นเลยเป็นแบบนี้”
“อ้อ ขอโทษด้วยนะ ผมดูผิดไปเอง”
ดนุชยิ้มให้พวกเขาแล้วเดินออกไป
เขาเพิ่งไป นิวราก็กลอกตามองบนมิกกี้ พูดเสียงเบาว่า “เธอนี่จริงๆเลย เป็นธรรมชาติหน่อยไม่ได้หรือไง? เกือบโดนจับได้เลยเนี่ย!”
ว่าแล้ว เธอก็หันไปมองทางที่ดนุชเดินจากไป จับมือมิกกี้ “ไป พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!”
ว่าแล้ว เธอก็ลากมิกกี้แอบเดินออกไป ตอนที่ดนุชไม่ทันสังเกต
ดนุชเดินอ้อมมาที่ตรงหน้าโต๊ะของญาธิดากับชวิศอีกครั้ง เขาทำเสียงจิ๊ๆ แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงสองคนกำลังถ่ายรูปพวกเธออยู่ ฉันสงสัยว่าพวกเธอรู้จักหรือเปล่า?”
ชวิศขมวดคิ้ว “ถ่ายรูปงั้นเหรอ?”
ดนุชพยักหน้า พูดโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง “ทางสามนาฬิกาของนาย”
ชวิศขมวดคิ้ว มองไปยังทางที่เขาบอกด้วยสายตาที่เฉียบคม หยุดสักพักแล้วพูดเสียงเบาว่า “โต๊ะนั้นไม่มีคนอยู่แล้ว”