ดวงใจภวินท์ - บทที่811 คุณป้ามาสร้างปัญหาแล้ว
อีธานเหลือบมองภวินท์ที่กำลังทำหน้าบึ้งอยู่ และแอบขยิบตาให้น้องสาวของเขา
เอลล่าทำปากบึ้งแล้วมองเขา แต่ดวงตาของเธอประกายไปด้วยความอยากซุบซิบ เธอใช้ท่าทางที่น่ารักออดอ้อนพี่ชายของตัวเอง และเธอก็ทำท่าโอเค หาข้ออ้างให้ภวินท์จากไป
ภวินท์เข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อ ลูกสาวของเขานั้น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาอกเอาใจ จึงทำได้เพียงใช้งานเป็นข้ออ้างแล้วกลับไปที่ห้องทำงาน
“พี่รีบพูดสิ!” ดวงตาของเอลล่าวาววับด้วยความสำเร็จ เธอเข้าไปใกล้ศีรษะเล็กๆของอีธาน และทั้งสองก็กระซิบกัน
นิธิศนั่งอยู่ในร้านอาหารด้วยใบหน้าที่เย็นชา จ้องมองไปยังทิศทางที่ญาธิดาจากไป นิ้วของเขากำแน่นขึ้นเล็กน้อย และแววตาสีเข้มในดวงตาของเขาไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
นพเก้าที่ใส่รองเท้าส้นสูงมานั่งลงตรงข้ามเขา ริมฝีปากสีแดงของเธอยกยิ้มเล็กน้อย และเธอก็กระแอม “ไม่นึกเลยว่าคุณนิดจะเป็นผู้ชายคลั่งรักที่หายากนะคะ”
“ไม่ต่างกัน” นิธิศละสายตาจากตรงนั้น และพูดออกมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆในน้ำเสียงของเขา “ฉากเมื่อกี้ถ่ายไว้แล้ว?”
เธอยกโทรศัพท์ขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ “ให้ฉันมาทำงานเล็กๆแบบนี้ เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนจริงๆ”
“เคล็ดลับไม่ต้องพิเศษ ใช้ง่ายก็พอแล้ว” ใบหน้าของนิธิศแสดงความรังเกียจเล็กน้อย “ต่อไปคือรอคอยการแสดงที่ดีของคุณนพเก้านะครับ”
นพเก้าดื่มไวน์แดงในมือ เหลือบไปมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมริมฝีปากของเขา ลุกขึ้นและออกจากร้านอาหารเพื่อไปที่STN Group
หลังจากรู้ว่าภวินท์ไม่ได้อยู่ในบริษัท เธอก็กัดฟันอย่างลับๆ เมื่อคิดถึงเนื้อหาในมือถือของเธอ เธอก็ตัดสินใจไปที่บ้านพักตระกูลสถิรานนท์
ตอนที่ให้ป้าจันทร์แจ้งภวินท์ อีธานและเอลล่าก็โผล่หัวของพวกเขาออกจากห้องนอนอย่างสงสัย เมื่อพวกเขาเห็นนพเก้าในห้องนั่งเล่น เด็กสองคนก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“พี่ชาย ป้านิสัยไม่ดี มาสร้างปัญหาแล้ว” เสียงของเอลล่าต่ำมาก
หลังจากเอลล่าไปโรงเรียน เธอก็ได้เรียนรู้ความรู้และคำศัพท์แปลกๆมากมาย และมักใช้โดยไม่เลือกปฏิบัติอีธานกลอกตาอย่างเอือมระอา “นี่มันความรู้ระดับปรมาจารย์จริงๆ”
“ความรู้อะไรนะ……” เอลล่าทำหน้างง แล้วยื่นแขนของเธอออกไป “พี่ ไปทำไม?”
“แน่นอนว่าต้องไปดวลกับหน้านางร้าย”
อีธานเดินไปที่ห้องนั่งเล่นขณะที่กำลังพูดอยู่ และจงใจแสดงท่าทางที่น่ารักของเด็กที่อยากรู้อยากเห็น และถามขึ้นด้วยเสียงที่ไร้เดียงสา “คุณป้า คุณป้าสวยจังเลยนะครับ”
การเยินยอนี้เห็นได้ชัดว่าใช้ได้ผลมาก นพเก้าก้มศีรษะลง มองไปที่ใบหน้าที่เกือบจะเหมือนกับภวินท์อีกครั้งดูเหมือนว่าเธอจะรังเกียจน้อยลง
ลูกๆของวินก็เก่งเหมือนกับเขาเลย
อีธานไม่ให้โอกาสเธอพูด และเพียงกล่าวเสริมว่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอคุณป้าที่ประตูโรงเรียน หน้าตาคุณป้ามอมแมมไปด้วยฝุ่น ผมไม่คิดว่าคุณป้าจะดูสวยมากขนาดนี้ครับ”
เอลล่าก็พูดตามหลัง “พี่ ทำไมจู่ๆคุณป้าถึงเปลี่ยนไปสวยขนาดนี้ล่ะ?”
“ในเน็ตบอกว่าสวยแบบกะทันหันแบบนี้เรียกว่าการศัลยกรรม พี่ก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากมาย เธอต้องถามป้าคนสวยดู”
“งั้นถ้าโตขึ้นหนูก็จะไปทำศัลยกรรม จะได้สวยเหมือนคุณป้าคนสวย” เอลล่าแสร้งทำเป็นมีความสุขมาก
“น้องสาวพี่ไม่ต้องศัลยกรรมหรอก มีแต่คนขี้เหร่เท่านั้นที่ต้องศัลยกรรม”
ฟังเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ดั่งสำนวนที่ว่า”เด็กไม่พูดโกหก” สีหน้าของนพเก้าก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ เธอจ้องมองที่พวกเขาและแอบสบถในใจ
ไอ้เด็กนอกคอกสองคนนี้ น่ารำคาญพอๆนางผู้หญิงชั้นต่ำญาธิดาเลย! ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดทิ้ง!
เสียงของการสนทนาไม่ได้หยุดลง รูปลักษณ์อันละเอียดอ่อนของนพเก้าค่อยๆบิดเบี้ยว และเล็บสีแดงสดก็ค่อยๆยืดไปทางอีธานโดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่เธอออกแรงเล็กน้อย หัวของอีธานก็จะถูกกระแทกที่มุมโต๊ะอย่างแม่นยำ เด็กน้อยคนนี้ ไม่รู้ว่ายังมีความโชคดีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือเปล่า……
“คุณนพเก้า”
เสียงของป้าจันทร์ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ความร้ายกาจในดวงตาของนพเก้าหายไปในทันที และเธอก็แสดงท่าทางอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้ออกมา และยิ้มให้ป้าจันทร์
“คุณผู้ชายให้เชิญคุณไปพบที่ห้องรับรองค่ะ”
เอลล่าดึงแขนเสื้อของอีธานเบาๆ บนใบหน้าที่โค้งมนของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “คุณพ่อคิดอะไรอยู่ ถึงยอมให้ผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนี้ไปเจอ”
เป็นอีกครั้งที่ใบหน้าของอีธานดูไม่เข้ากับอายุของเขา และเขาก็พ่นเสียงเบาๆออกมาว่า “เพราะต้องจับกิ่งไม้หนาๆเท่านั้น ถึงจะสามารถถอนรากถอนโคนต้นไม้ได้”
ประโยคนี้เกินความรู้ที่มีของเอลล่าแล้ว เธอไม่เข้าใจเลย และเกาหูด้วยความสับสน
ที่จริงแล้วห้องรับรองเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่การตกแต่งนั้นโปร่งใสและเป็นทางการมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในออฟฟิศ เป็นห้องที่ภวินท์ใช้เพื่อพบกับแผนกเก่าของบริษัท ตอนที่เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในบริษัท
ก่อนที่เธอจะดูเครื่องเรือนรอบๆเสร็จ ร่างของภวินท์ก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องนั่งเล่นแล้ว
สองขาเรียวของเขาก้าวเดินไปที่โต๊ะหลัก สีหน้าที่ไม่พอใจบนใบหน้าของเขา ไม่มีการปิดบังเลย และมีการปฏิเสธอย่างชัดเจนในน้ำเสียงของเขา “ใครให้คุณมาที่นี่?”
“ตอนแรกฉันแค่จะไปหาคุณที่บริษัท แต่พนักงานบอกว่าคุณไม่อยู่ ฉันเลยต้องมาที่นี่” ท่าทางระมัดระวังของนพเก้ามีความโศกเศร้าปนอยู่ และเสียงของเธอก็อ่อนลง “วันนี้ฉันได้รับจดหมายนิรนามอีกแล้ว ฉันกลัว ”
ภวินท์เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองเธอ และถามอย่างเย้ยหยัน “คนที่ออกมาจากozoneกลัวจดหมายนิรนามในอีเมลด้วยเหรอ?”
นพเก้าคิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไรดี และก็อธิบายทันทีว่า “ถ้าจดหมายฉบับนี้มุ่งมาที่ฉัน ฉันจะไม่กลัว แต่ฉันคิดว่าอีกฝ่ายอยากจะยืมดาบฆ่าคน และคราวนี้ไม่ใช่จดหมายอีเมล”
แน่นอนว่า เธอจะไม่ยอมถูกนิธิศใช้งานฟรีหรอก ครั้งแรกที่ทั้งสองร่วมมือกัน เธอก็ได้คิดหาทางออกไว้แล้ว เธอต้องเอาตัวเองออกจากแผนนี้ก่อน แล้วแสร้งทำเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ
ในกรณีที่วันหนึ่งนิธิศถูกจับได้ เธอก็สามารถใช้ข้ออ้างที่ว่า”ไม่รู้เรื่อง”เพื่อรอดออกไปได้
ภวินท์ดูเหมือนจะตอบสนองต่อคำพูดของเธอ และยกคางขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้เธอพูดต่อ
แผนแรกของนพเก้าประสบความสำเร็จ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมีความสุข จากนั้นก็เอารูปทั้งหมดที่ถ่ายญาธิดาและนิธิศในร้านอาหารมาวางบนโต๊ะให้เขาดู
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงส่งสิ่งเหล่านี้มาให้ฉัน บางที อาจจะเพราะรู้ว่าตอนที่อยู่ozoneฉันกับธิดาไม่ถูกกันก็เลยอยากจะยืมมือฉันเพื่อมาปราบปรามธิดา”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของภวินท์เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่สามารถซ่อนความได้ใจในดวงตาของเธอได้ และเธออธิบายอย่างน่าสงสาร “ฉันอวยพรให้คุณและธิดาด้วยใจจริง แต่มีใครบางคนต้องการใช้ฉัน เพื่อจัดการกับพวกคุณสองคน”
แม้ว่าภวินท์จะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในร้านอาหาร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นรูปถ่ายที่นิธิศมอบแหวนให้ญาธิดาเขาก็ยังคงรู้สึกจุกอก
“คราวหน้ามีเรื่องแบบนี้ ส่งตรงถึงเลขาของSTN Groupได้เลย ไม่ต้องมาถึงที่นี่หรอก” เสียงเย็นชาของเขาดังขึ้น
หัวใจของนพเก้าเต้นเร็วขึ้น และมุมริมฝีปากของเธอแทบจะฉีกถึงหู เพราะคราวนี้ภวินท์ดูเหมือนจะไม่เชื่อในตัวญาธิดา และบอกตัวเองว่า ยังสามารถส่งต่อข่าวสาร”มีชู้”แบบนี้ต่อไปได้
วินเชื่อคำพูดของเธอและรูปถ่ายเหล่านี้ แน่นอนว่าเธอมีความสุข แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำให้ละครเรื่องนี้ได้ข้อสรุปที่เศร้าโศก
เสียงพูดที่อ่อนโยนของเธอดังขึ้นในห้องนั่งเล่นอย่างช้าๆ ในน้ำเสียงมีความกังวลปนอยู่ “วิน ธิดาไม่เหมือนผู้หญิงที่จะนอกใจได้นะ อาจจะมีบางอย่างที่เข้าใจผิด”
ภวินท์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “รู้หน้าไม่รู้ใจ”