ดวงใจภวินท์ - บทที่847 นายตกหลุมรักเธอแล้วรึเปล่า
บทที่847 นายตกหลุมรักเธอแล้วรึเปล่า
ไม่เกินคาด อาริโอระบายความโกรธทั้งหมดบนตัวของนพเก้า ผลลัพธ์ก็คือหยุดงานทั้งหมดที่ตอนนี้เธอได้รับมอบหมาย แล้วก็ไปรอภารกิจใหม่อยู่ที่บ้านก็พอ
และก็มีเสียงดังก้องกังวานดังขึ้นในวิลล่าแห่งหนึ่ง เธอปาแจกันกระเบื้องอันละเอียดอ่อนในมือของเธอลงไปที่พื้นอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับว่ายังไม่สามารถระบายความโกรธได้เพียงพอ และเธอก็หยิบแก้วชาด้านข้างขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นก็มีมือหนาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น หยุดการกระทำของเธอ และเสียงที่หนาวเหน็บของเขาก็ดังขึ้นมาในหูของเธอ “วุ่นวายพอรึยัง”
เธอจ้องไปที่ภวินท์ด้วยสายตาที่โมโห แล้วก็สังเกตเห็นความรำคาญในสายตาของเขา และอารมณ์ของเธอก็เลยยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก “ทำไมวันนี้ถึงไม่ช่วยฉันพูดเลย หรือว่านายเองก็เอนเอียงไปที่ยัยผู้หญิงชั้นต่ำนั่นใช่ไหม ไม่ได้เชื่อฉันเลยใช่ไหม!”
“เรื่องนี้มันต้องคอยปรึกษากันให้ดีก่อน ตอนนี้เป้าหมายของเธอก็ทำให้อารมณ์ของอาริโอคงที่ให้ได้ ไม่ให้เอาเขาอำนาจทั้งหมดของเธอไป” ภวินท์นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสง่างาม พร้อมกับอธิบายด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
แต่น่าเสียดาย ที่เธอไม่เชื่อในคำพูดนี้ สิ่งที่เขาทำให้วันนี้เธอไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน เพราะเธอเห็นอย่างชัดเจนว่าวินสนใจยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น!
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะได้ภวินท์ แม้แต่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ แต่ว่ายัยคนนั้นจะมาขโมยสิ่งที่เธอทำมาอย่างง่ายดายได้ยังไงกัน
นพเก้ายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แทบทนไม่ไหวที่ระบายความโกรธใส่ภวินท์
“ภวินท์ หรือว่านายตกหลุมรักยัยผู้หญิงชั้นต่ำอย่างญาธิดาไปแล้ว! นายกับฉันโตมาด้วยกันที่ยุโรป แล้วนายจะเป็นสามีของเธอได้ยังไง!”
ภวินท์เงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นขึ้นมาก แถมยังผสมไปด้วยความโกรธเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่มีท่าทีว่าจะระเบิดออกมา “ฉันไม่เคยสงสัยเรื่องตัวตนของตัวเอง และก็ไม่เคยสงสัยเธอด้วย อย่าโมโหขนาดนั้นเลย”
“พูดจาไร้สาระ!เพราะว่าสายตาของนายมันมีแต่ยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น!”
นพเก้าชี้หน้าเขาพร้อมกับตะคอกออกมา “ฉันเคยบอกนายตั้งแต่แรกแล้วไง ว่าอย่าไปเชื่อเรื่องโกหกอะไรพวกนั้น นี่มันคือสิ่งที่เธอทำเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ในพวกเรา เธอเป็นสายลับ!”
ภวินท์มีสีหน้ามืดมน ตอนที่มองมาที่เธออีกครั้งนั้น ดวงตาที่ลึกซึ้งของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
แต่ว่าตอนที่เธอยังไม่ทันจะตั้งสตินั้น มือหนาของเขาก็บีบเข้าที่คางของเธอ และค่อนข้างออกแรง นพเก้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทนไม่ไหว และสายตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
น้ำเสียงของเขานั้นไม่มีอารมณ์ปนอยู่เลย มีแต่การข่มขู่ที่เยือกเย็นเท่านั้น “เลิกคาดเดาอะไรที่ไม่มีมูลได้ละ อย่ามาท้าทายขีดจำกัดของฉัน!”
รูม่านตาของนพเก้าหดลงทันที เธอรีบพยักหน้าและมือขาวๆ ค่อยๆ จับที่มือหนาของเขา
ตอนที่มือของทั้งสองกำลังจะสัมผัสกันนะ จู่ๆ ภวินท์ก็ดึงมือกลับมา เธอยืนไม่คงที่ ก็เลยล้มลงที่โซฟาทันที น้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาเหมือนสร้อยที่ลูกปัดขาด
เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่ประณีตและงดงามของเธอเปียกปอนไปด้วยน้ำตา เธอร้องไห้โวยวายออกมาแล้วพูดว่า “ในเรื่องของความรู้สึกฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ฉันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าญาธิดา!
ยัยผู้หญิงร้ายๆ คนนั้นเอาแต่บอกว่านายคือสามีของเธอ แล้วนายจะให้แฟนอย่างฉันคิดยังไง หรือว่าจะให้ฉันอธิบายกับเธอด้วยรอยยิ้มไหม นายคิดว่าเธอจะฟังเหรอ? ”
สีหน้าของภวินท์ดูสะเทือนใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและมองดูเธอร้องไห้ สุดท้ายก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วก็ยื่นกระดาษทิชชูให้เธอ
เธอสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างระมัดระวัง และเมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีโกรธอีกต่อไป เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตอนนี้เธอเชื่อฟังมากขึ้น และอธิบายอย่างอ่อนแรงว่า “ตอนที่ฉันช่วยชีวิตนายจากต่างประเทศ ชีวิตของนายเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตอนนั้นฉันกลัวมากว่าจะเสียนายไป ก็เลยกังวลขนาดนั้น……”
ภวินท์เหลือบมองเธออย่างเย็นชา ตอนที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ สีหน้าของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันรู้แล้ว แต่ว่าเธอต้องเชื่อใจฉันนะ”
เขาก้าวเข้าไปแล้วประคองเธอให้ลุกขึ้นมาจากโซฟา และเธอก็อาศัยโอกาสนี้พุงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา เล็บแหลมคมกรีดหน้าอกของเขาผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว เสียงร้องไห้ของเธอช่างน่าดึงดูดอย่างอธิบายไม่ถูก”
“วิน ฉันไม่อยากให้ญาธิดาเข้ามายุ่งกับความสัมพันธ์ของพวกเรา ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมรับการถูกยั่วยุอย่างเปิดเผยขนาดนี้ได้หรอก นายต้องเข้าใจฉันนะ……”
เธอพูดไปด้วย แล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขา
เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจกลิ่นมินท์ที่สม่ำเสมอของภวินท์ มันทำให้เธอค่อนข้างฟุ้งซ่าน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วก็ยื่นริมฝีปากสีแดงเซ็กซี่ของตัวเองเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเขาด้วยสีหน้าที่เคลิบเคลิ้ม และเรือนร่างที่น่าประทับใจก็โน้มเข้าหาร่างกายของเขา
ตอนนี้ทั้งสองห่างกันเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น ภวินท์ไหล่จึงเล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนลงไปนั่งแทน พร้อมกับมองเธอด้วยสีหน้าที่จริงจัง
นพเก้าลืมตาขึ้นมา และความไม่พอใจในสายตาของเธอนั้นก็หายวับไป
สองปีเต็มมานี้ ถึงแม้ว่าเธอกับภวินท์จะรักษาสถานภาพแฟนมาโดยตลอด แต่ว่าแม้แต่การจับมือหรือว่ากอดกันนั้นก็ยังมีน้อยมาก
ตอนเริ่มแรก เธอก็พยายามปลอบใจตัวเอง ว่าที่ภวินท์ปฏิเสธเธอ ก็เพราะว่ารู้สึกว่าไม่สามารถเชื่อเธอได้อย่างสนิทใจหลังจากสูญเสียความทรงจำไป
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกครั้งที่เธอต้องการเข้าใกล้เขา เขาจะพยายามหลีกเลี่ยง มันทำให้เธอยิ่งไม่พอใจและเคียดแค้นมากขึ้นไปอีก……
“ตอนนี้อาริโอยึดอำนาจของเธอไปแล้ว เพราะว่าญาธิดาขัดเอาไว้ ถ้าเกิดว่าเธอมีเวลามานั่งโกรธ สู้เอาเวลาไปคิดดีกว่าว่าจะเอาความไว้วางใจคืนมาจากเขาได้ยังไงกัน”
พอเห็นว่าท่าทางของภวินท์นั้นดูจริงจังมาก เธอก็เลยต้องเก็บอารมณ์ของตัวเอง แล้วก็ตอบกลับไปว่า “เพียงแค่ต้องจำกัดญาธิดาเท่านั้น และอะไรก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย”
สายตาของภวินท์ดูเหมือนจะกระหายเลือด แต่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ เท่านั้น เหมือนกับว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่นพเก้าพูด
พอคิดว่าภวินท์เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง ใบหน้าของเธอก็กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง แล้วก็พิงไหล่ของเขาอย่างพึงพอใจ
หลังจากผ่านไปสองวัน ในสวนของคฤหาสน์ของตระกูลกรเวชก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย ขวัญตาก็รีบคว้าต้นกล้ามากอดไว้ในอ้อมแขนและปลอบอย่างแผ่วเบา
“แม่ขวัญครับ วันนี้ป้าสาแกล้งผมอีกแล้ว”เขาสะอื้น แล้วก็ฟ้องในสิ่งที่อลิสาทำ
ขวัญตาหันไปมองอลิสา แล้วก็ตำหนิอย่างไม่มีทางเลือกว่า “พี่หลุยส์สอนเธอไม่ดีเลย ยังไงเธอก็เป็นป้าของเด็กคนนี้นะ ทำไมต้องรังแกต้นกล้าด้วย”
“ฉันก็หวังดีกับเขานะ พ่อของเขาเป็นคนรอบคอบขนาดนั้น ถ้าเกิดว่าโดนจับได้จะเป็นยังไงกัน เธออยากให้ต้นกล้ากลับไปมีชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นอีกงั้นเหรอ? ” อลิสากัดแตงโมในปากของตัวเอง แล้วก็อธิบายอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
พอได้ยินคำพูดนี้ ต้นกล้าก็ทำปากมุ่ยอย่างอดไม่ได้ แล้วก็ตอบกลับอย่างโกรธเคืองว่า “ป้าสาก็แค่หาข้ออ้างมาเพื่อรังแกผมเท่านั้นเอง ผมเอาชนะไม่ได้หรอก”
“ต้นกล้า หนูก็แค่ทำเป็นเหมือนว่าเชื่อป้าสาก็พอแล้ว”ขวัญตาจัดแจงเสื้อผ้าของเขาให้เข้าที่ แล้วก็กระซิบบอก “วันนี้พ่อจะมาเยี่ยมหนู หนูควรจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง? ”
ต้นกล้าพยักหน้าอย่างแรง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มหายไป แล้วเขาก็กลับมามีท่าทีสันโดษ
จนกระทั่งร่างที่คุ้นเคยสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ลานบ้านของตระกูลกรเวช แล้วเสียงหัวเราะของผู้หญิงสองสามคนนั้นก็ดังขึ้น นิธิศเดินตามหลังญาธิดามา และสายตาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าเด็กน้อยที่ดูไม่ค่อยพูดของต้นกล้า
“คุณนิด วันนี้อาการของต้นกล้าไม่เลวนัก คุณพาเขาไปเดินเล่นรอบๆ นี้ก็ได้”อลิสาพูด แล้วก็แอบดึงมุมเสื้อของต้นกล้า