ดวงใจภวินท์ - บทที่96 เธอมีดีกว่าคนอื่นตรงไหน
ญาธิดากลับไปที่ห้องนอนตัวเอง พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ในสมองก็มีคำพูดของภวินท์ดังขึ้น
เขาจะให้เธออยู่ข้างเขา เหตุผลเพราะคุณย่าจริงเหรอ หรือยังมีเหตุผลอื่นอีกนะ?
คิดอยู่ตั้งนาน เธอก็ไม่เข้าใจ และเดาไม่ออกว่าภวินท์คิดอะไรอยู่ ก็เลยเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น
เช้าวันที่สอง ญาธิดาตื่นนอน เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้สายแล้วด้วย ปภาวีบังคับให้เธอกินอาหารเช้าก่อนค่อยไปทำงาน
เป็นไปตามที่คิดไว้ เดินทางไปทำงานช่วงที่คนเยอะพอดี เธอไปสายโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ญาธิดารีบวิ่งมาถึงหน้าแผนก เพิ่งสแกนบัตรเข้าเสร็จ ก็มีเพื่อนร่วมงานในแผนกเรียกเธอ “ธิดา พี่แนนตามหาคุณอยู่ค่ะ รีบไปหาที่ห้องทำงานด้วยนะคะ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว ยังไม่ทันได้เอาของตัวเองไปไว้ในห้องทำงาน ก็โยนกระเป๋าไว้ข้างนอก แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของหัวหน้า
เธอเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป ก็เห็นในห้องนอกจากจะมีพี่แนนแล้วก็ยังมีพิชญ์สินีอยู่ด้วย
ญาธิดาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันมาสาย ขอโทษด้วยนะคะ”
พี่แนนก็ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร เข้ามานั่งสิ”
เห็นพวกเธอนั่งลงกันแล้ว พี่แนนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พูดเปิดประเด็นเลยว่า “ที่ฉันเรียกพวกเธอมา เพราะมีงานให้ทำ”
“วันนี้รองประธานมาร์ตินกลับบริษัท ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในเมือง A ดูแลบริษัทสาขาของ STN Group อยู่ตลอด ตอนนี้ได้ย้ายกลับมาแล้ว แผนกของพวกเราต้องส่งผู้ช่วยไปคนหนึ่ง เพื่อช่วยในการทำงาน และส่งมอบงานกัน”
พี่แนนหยุดสักพัก แล้วกวาดตามองญาธิดากับพิชญ์สินีที่อยู่ตรงหน้า “พูดตามตรงเลยก็คือ เป็นงานผู้ช่วยที่ต้องช่วยทุกอย่าง ที่สำคัญคือต้องพาคุณมาร์ตินทัวร์บริษัท และทำงานพวกซื้อกาแฟน้ำขนมปัง ดูแลทุกอย่างของคุณมาร์ติน”
ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ญาธิดาก็ถึงเข้าใจ ที่แท้รองประธานจะกลับบริษัทนี่เอง เธอกับพิชญ์สินีจะต้องรับผิดชอบธุระยิบย่อยของรองประธาน เพียงเท่านั้น
“เวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉันเรียกพวกเธอสองคนมา เพราะเห็นพวกเธอรับผิดชอบและใส่ใจต่อรายละเอียดของงาน แต่ครั้งนี้ไม่ต้องไปสองคน ฉันจะเลือกหนึ่งคน จบแล้วเดือนนี้จะได้โบนัสด้วย พวกเธอใครอยากไปเหรอ”
ญาธิดาลังเลไม่ตอบ
เธอรู้ดีว่า เรื่องแบบนี้ พิชญ์สินีจะต้องแย่งพูดก่อนแน่นอน เธอเลยไม่คิดที่จะแย่งกับหล่อน
“คอกแคก!”
ด้านข้างมีเสียงไอของพิชญ์สินีดังนั้น เธอพูดเสียงเบาว่า “พี่แนนคะ ครั้งนี้ให้ญาธิดาทำเถอะค่ะ เธอเป็นเด็กใหม่ ต้องการใช้โอกาสนี้ฝึกงานให้ค่ะ”
ญาธิดาอึ้ง เหมือนคิดไม่ถึงว่าพิชญ์สินีจะพูดแบบนี้ ปกติหล่อนมักจะเสียดสีเธออยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้กลับยอมเอาโอกาสนี้ให้เธอก่อนงั้นเหรอ?
เธอเดาไม่ออกจริงๆ ทันใดนั้นพี่แนนก็หันหน้ามาหาเธอ “ญาธิดา เธอว่ายังไง”
ญาธิดาเงียบไปสักพัก จากนั้นก็มองพิชญ์สินีที่อยู่ข้างๆ “ฉันได้หมดค่ะ”
พี่แนนพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ งั้นเธอก็ไปเลยนะ เดี๋ยวไปรายงานตัวที่คุณมาร์ติน ไปทำความรู้จักกันก่อน”
“ค่ะ”
รอพี่แนนสั่งเสร็จแล้ว ญาธิดากับพิชญ์สินีก็เดินออกจากห้องหัวหน้า
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ญาธิดาก็มองดูพิชญ์สินีที่อยู่ไม่ไกลมาก อดไม่ได้เรียกไปว่า “คุณพิช”
พิชญ์สินีหันหน้ากลับไป เลิกคิ้วแล้วมองเธอ “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ครั้งนี้ที่ไปเป็นผู้ช่วยของคุณมาร์ติน ทำไมคุณไม่ไปเอง?”
ปกติเรื่องดีๆแบบนี้ พิชญ์สินีจะแย่งไปก่อนตลอด วันนี้กลับใจกว้างยอมเอาภารกิจนี้ให้เธอ เธอไม่แน่ใจเลยว่าหล่อนคิดอะไรอยู่กันแน่
พิชญ์สินีได้ยินแล้ว สายตาก็มีความเยือกเย็นประกายขึ้น ต่อมาก็ไอคอกแคกแล้วพูดว่า“ฉันเป็นหวัดน่ะค่ะ ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไม่อยากไปแล้วมันยังไงคะ?”
พูดจบ เธอก็เดินออกไปทันที
มองดูแผ่นหลังของเธอ ญาธิดาก็แอบโล่งอก ที่แท้เธอก็ป่วยนี่เองถึงไม่อยากไป
คิดได้แบบนี้แล้ว ความสงสัยในใจก็หายไปเองช้าๆ
กลับไปถึงห้องทำงาน หลังจากพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ญาธิดาก็กะว่าจะไปห้องทำงานของรองประธานเลย
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้เธอจะทำงานพร้อมกับคุณมาร์ติน ก็ต้องไปแนะตัว ฝากเนื้อฝากตัวกันก่อน
ห้องรองประธานอยู่ไม่ไกลมากจากห้องประชุม ญาธิดาไปถึง ก็เห็นพนักงานกำลังถือถาดวางน้ำชาสีน้ำตาลเข้าไป
แม้ญาธิดาจะไม่ค่อยรู้เรื่องชา แต่เห็นถาดที่ประณีตขนาดนี้แถมยังมีถ้วยชาอุปกรณ์ชงชาหลากหลายแบบ ก็รู้ว่าราคาต้องไม่เบาแน่
อึ้งไปสองวินาที เธอก็ตั้งสติได้ ทันใดนั้นก็นึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองมาในวันนี้
เธอเดินไปที่หน้าประตูห้องทำงาน เห็นคนอื่นๆกำลังตกแต่งห้องอยู่ นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่เห็นคุณมาร์ตินเลย
เธอลังเลสักพัก ก็เดินไปถามคนที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ “ขอโทษนะคะ คุณมาร์ตินอยู่ไหนเหรอคะ?”
ไม่รอคนคนนั้นตอบ ด้านหลังเธอก็มีเสียงเข้มดังขึ้น “หาฉันเหรอ?”
ญาธิดาอึ้ง แล้วหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง เธอก็รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ คุณมาร์ติน”
ชายหนุ่มอายุห้าสิบกว่าแล้ว รูปร่างกลางๆ จอนผมสองข้างมีผมขาวปะปนเล็กน้อย คิ้วหนาปึก และดวงตาคู่นั้นกลับดูเข้มงวดและโหดอย่างบอกไม่ถูก
มาร์ตินมองดูญาธิดาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตามีความลังเลและเข้าใจ ทันใดนั้น แววตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ “เธอเป็นผู้ช่วยแผนกธุรการที่ส่งมาใช่ไหม?”
ญาธิดาตอบเสียงเบา “ค่ะ”
เหมือนจะรู้สึกน่าขำ เขากระตุกมุมปาก แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก เขากวาดตามองป้ายตรงหน้าอกเธอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ญาธิดา งั้นเธอลองพูดมาสิว่า เธอมีดีกว่าคนอื่นยังไง ถึงได้ถูกส่งมาเป็นผู้ช่วยฉัน?”
ญาธิดาอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะถามแบบนี้ เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่เฉียบคมตรงหน้า
“คุณมาร์ตินวางใจได้เลยค่ะ ฉันทำงานในแผนกธุรการมาแล้วสองปีกว่า มีประสบการณ์ด้านงานมากมาย และคุ้นเคยกับทุกกระบวนการของงานค่ะ หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ ฉันจะตั้งใจร่วมงานกับ……”
ญาธิดายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกตัดจบเสียก่อน “พอแล้ว”
มาร์ตินแสยะยิ้ม มองด้วยแววตาดูถูก “คำพูดทางการแบบนี้ใครจะพูดไม่เป็นบ้าง? เธอเหรอที่มีประสบการณ์ จะมาเป็นผู้ช่วยฉันไม่ได้หรอกนะ”
ได้ยินแล้ว ญาธิดาก็กำหมัดแน่น แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ
ไม่คิดว่า คุณมาร์ตินจะเอาใจยากขนาดนี้ เธอมาเป็นผู้ช่วยให้เขาชั่วคราว ตามที่พี่แนนสั่งมา ก็แค่พาคุณมาร์ตินคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสถานที่ในบริษัทก่อน ไม่คิดว่าเธอมาแล้ว จะถูกเขาปฏิเสธแบบนี้
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำใจกล้าเงยหน้ามองเขา “ไม่ทราบว่าคุณมาร์ตินต้องการผู้ช่วยลักษณะแบบไหนคะ ถ้าฉันไม่ดีตรงไหน ฉันจะแก้ไขทันทีเลยค่ะ ช่วงนี้ก็จะไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาของคุณด้วยค่ะ”
พอพูดคำนี้ออกไป นัยน์ตาของมาร์ตินก็มีความเยือกเย็นประกายขึ้น ต่อมา เขาก็กระตุกยิ้มมุมปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “การเป็นผู้ช่วยของฉัน จะต้องปล่อยตัวให้สบาย ฉันไม่ใช่ที่ชอบพูดอ้อมๆ และเด็กน้อยที่ดื่มเหล้ากับลูกค้าไม่เป็น ถ้าเธอเป็นคนแบบนั้น ก็รีบไสหัวออกไปได้เลยนะ”
แค่ไม่กี่คำ ทำเอาญาธิดาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด เหมือนถูกคนตบหน้าจังๆ
เขาพูดแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าภายในอาทิตย์นี้ต้องมีงานดื่มเหล้าแน่ ถ้าตอนนี้เธอถอยออกไปก่อน ไม่เพียงแต่ยอมรับว่าเธอไม่มีความสามารถมากพอ และยังจะรายงานกับพี่แนนไม่ได้อีกด้วย
ในตอนที่เธอเงียบไม่พูด มาร์ตินเดินไปข้างหน้า แล้วจ้องเธอด้วยแววตาเย็นชา “กลัวเหรอ?”
ชะงักไปสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “กลัวก็กลับไปบอกหัวหน้าพวกเธอว่าเธอทำงานนี้ไม่ได้ ให้เปลี่ยนคน!”
ญาธิดากำหมัดแน่น เธอกัดฟัน สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าสบตากับเขา ยิ้มกว้างตอบกลับไปว่า “คุณมาร์ติน ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ”
เธอลังเลสักพัก ก็เดินไปถามคนที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ “ขอโทษนะคะ คุณมาร์ตินอยู่ไหนเหรอคะ?”