ดั่งรักบันดาล - บทที่ 331 ตั้งท้อง
ทันใดนั้น ในหัวก็ว่างเปล่าไปหมด เย่หว่านเอ๋อสีหน้าขาวซีด
หรือว่า หร่วนซือซือ……
เวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดขึ้นว่า : “หว่านเอ๋อ เป็นอะไรไป?”
เย่หว่านเอ๋อ สูดลมหายใจเข้า รีบดึงสติตัวเองกลับ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน เธอเม้มปากแล้วพูดขึ้นว่า : “ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ”
อวี้อี่มั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “อืม เดี๋ยวฉันจะไปประชุมภายในแผนก เธอกลับไปพักผ่อนเช้าๆหน่อย”
เย่หว่านเอ๋อพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง ไม่อ้อนขออยู่ต่อเหมือนอย่างที่เคยทำ เธอสูดลมหายใจเข้า พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “พี่มั่วคะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสักครู่ค่ะ”
เมื่อได้ยินอวี้อี่มั่ว ตอบกลับแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกมาแล้ว เธอก็รีบหันไปมองรอบๆ ในที่สุดก็เห็นหลังของหร่วนซือซือที่เดินอยู่บนทางเดินไกลๆ เธอรีบตามไปติดๆ : “ซือซือ! รอสักครู่!”
หร่วนซือซือเมื่อได้ยินเสียงเรียกแล้ว เธอหยุดเดินพร้อมกับหันกลับมามองเย่หว่านเอ๋อ แล้วถามขึ้นว่า : “คุณเย่ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เย่หว่านเอ๋อพยายามปกปิดแววตาของเธอ รีบหยิบมือถือขึ้นมา เธอยิ้มและพูดขึ้นว่า : “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เรื่องรูปถ่ายที่ถ่ายตอนงานหมั้น ดูสิว่าคุณต้องการหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะส่งให้”
หร่วนซือซือลังเลไปชั่วครู่ ในตอนแรกเธอคิดที่จะปฏิเสธ แต่เห็นเย่หว่านเอ๋อเลือกรูปออกมาแล้ว ยกขึ้นมาโชว์ต่อหน้าเธอ
ในรูปถ่ายคือคนสี่คนที่ยืนเรียงกันเป็นแถว ดูดีทีเดียว กวาดตาดูจนถึงผู้ชายที่ยืนข้างๆเย่หว่านเอ๋อ เธอลังเลไปชั่วครู่ พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ : “งั้นคุณส่งให้ฉันเลยค่ะ”
“ได้ค่ะ!” เย่หว่านเอ๋อ พูดจบก็ส่งรูปถ่ายให้เธอ ไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝงอยู่หรือเปล่า เธอพูดต่อว่า : “เธอกับซ่งเย้อัน เวลายืนอยู่ด้วยกันดูเหมาะสมกันมาก! เหมือนคู่สร้างคู่สมเลยทีเดียว!”
หร่วนซือซือเมื่อได้ยินแล้ว ก็ฝืนยิ้มออกมาเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เย่หว่านเอ๋อมองไปยังเธอ ถามขึ้น เหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า : “ใช่แล้ว ซุปปลาเมื่อสักครู่ไม่อร่อยเหรอ? ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบเลย”
หร่วนซือซือนิ่งไปชั่วครู่ แล้วตอบกลับว่า : “อร่อยมากค่ะ เพียงแต่วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย ไม่ได้เกี่ยวกับซุปปลาเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเย่หว่านเอ๋อก็ลุกวาวขึ้นมาทันที เธอยิ้มที่มุมปากแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นก็ดี นึกว่าเป็นเพราะเชฟที่บ้านฉันทำได้ไม่ดี”
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพัก ก็พากันแยกย้าย
มองหร่วนซือซือที่เดินไกลออกไป เย่หว่านเอ๋อที่ยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา กำมือทั้งสองแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เป็นเพราะเรื่องราวก่อนหน้านี้ระหว่างอวี้อี่มั่วกับหร่วนซือซือ เธอไม่คิดมากไม่ได้เลย ไม่ว่ายังไง เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเด็ดขาด
เธอคิดพลางหยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรออก พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ : “ฮั่วชวน เธอจับตาดูคนคนหนึ่งให้ฉันหน่อย”
ผ่านไปแล้วทั้งวัน ตั้งแต่นั่งรถแข่งแล้ว หร่วนซือซือก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย รู้สึกปวดหัวหน่วงๆอยู่ตลอดเวลา กินอะไรไม่ค่อยลง อาการทั้งหมดนี้ เธอนึกว่าเป็นเจียงฮ่วนเฉินใส่ยาอะไรให้เธอกินหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกทรมานขนาดนี้
ตอนแรกคิดว่าพักผ่อนไปหนึ่งคืนก็ดีขึ้น แต่ไม่นึกเลยว่าวันรุ่งขึ้นอาการจะหนักกว่าเก่า เธอซื้ออาหารเช้าเรียบร้อย เมื่อถึงห้องทำงาน เธอก็กัดซาลาเปาไปคำหนึ่ง ในท้องก็รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอีก ความรู้สึกเหมือนคลื่นไส้ตลอดเวลา
ซาลาเปาที่กัดไปหนึ่งคำเธอเกือบจะอาเจียนมันออก มองซาลาเปาที่เหลืออยู่ในมือ ไม่มีความรู้สึกหิวหรืออยากกินต่อเลย
เสี่ยวหานที่กำลังเดินผ่านมา มองอาหารเช้าบนโต๊ะของเธออย่างแปลกใจ อดไม่ได้จึงถามขึ้นว่า : “ซือซือ เป็นอะไรไป? อาหารเช้าไม่อร่อยเหรอ?”
หร่วนซือซือ ขมวดคิ้ว ตอบกลับเสียงเบา : “เปล่าหรอก ฉันแค่รู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยน่ะ”
เสี่ยวหานเมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว นิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆก็ขยับเข้ามาใกล้ๆทันที พูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก : “ซือซือ ดูจากอาการของเธอแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เธออาจเป็นโรคกระเพาะ อาหารเป็นพิษ หรืออาจจะ……”
เธอลากเสียงยาว : “ท้อง!”
หร่วนซือซือที่ได้ยินแล้ว ก็อดขำไม่ได้ ยื่นมือมาตบเธอเบาๆ : “อย่าพูดไปเรื่อยนะ! ฉันจะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไง!”
เสี่ยวหานหัวเราะชอบใจ : “ฉันล้อเล่นหรอก แต่เรื่องแบบนี้มันเข้าใครออกใครที่ไหนล่ะ ฉันคิดว่าเธอน่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลเสียหน่อยก็ดี”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หร่วนซือซือก็หุบยิ้มลง : “เธอพูดถูก ช่วงพักกลางวันฉันจะหาเวลาไปตรวจดูเสียหน่อย”
ยังไม่ทันจะถึงเวลาพักเที่ยง หร่วนซือซือบอกกับเสี่ยวหานว่า เธอจะออกไปก่อนเวลาพักเที่ยงครึ่งชั่วโมง ไปตรวจที่โรงพยาบาล
ส่องกล้องดูกระเพาะ ทำอัลตร้าซาวด์ อะไรที่ควรจะตรวจก็ตรวจหมดแล้ว เธอนั่งอยู่หน้าห้องรอผลตรวจ จู่ๆในใจก็รู้สึกสับสนวุ่นวายแปลกๆ
อาการของเธอที่เป็นอยู่ตอนนี้ คงไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เสียวหานพูดหรอกนะ?
รอผลอยู่ราว 40 นาที ผลตรวจออกมาแล้ว กระเพาะลำไส้ปกติดี ก็ไปแผนกสูตินรีเวชรับผลตรวจต่อ คุณหมอมองหน้าเธอ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “คุณตั้งท้องค่ะ”
หร่วนซือซือเมื่อได้ยินแล้ว ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เธอยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป จึงรีบถามขึ้นอีกครั้งว่า : “อะไรนะคะ?”
คุณหมอคงจะชินกับสีหน้าท่าทางแบบนี้ของคนไข้คนอื่นๆแล้ว จึงตอบกลับด้วยคำพูดที่ชัดเจนและช้าๆว่า : “คุณตั้งท้องค่ะ”
หร่วนซือซือผงะ ในใจของเธอเหมือนหล่นฮวบลง เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอจะท้องได้ยังไงล่ะ? ก็ในเมื่อไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครเลยนี่นา นอกจากกับอวี้อี่มั่วครั้งนั้น……
คุณหมออธิบายคร่าวๆว่า “คุณตั้งครรภ์ได้ห้าสัปดาห์แล้ว ลองพิจารณาดู ว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือเปล่า”
หร่วนซือซือทบทวนคำพูดของหมออยู่หลายรอบในใจ
“ตั้งท้องได้ห้าสัปดาห์แล้ว……”
“ท้องได้ห้าสัปดาห์แล้ว……”
ถ้าคิดแบบนี้ ก็พอดีกับที่มีอะไรกับอวี้อี่มั่วครั้งนั้น!
หร่วนซือซือกำมือไว้แน่น ในอุ้มมือเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เด็กคนนี้ เธอควรจะเก็บไว้รึเปล่านะ
ตั้งท้องรอบที่แล้ว เรื่องราวก็เหมือนกับละครฉากหนึ่ง ที่ผ่านเข้ามาและผ่านเธอไป
การสูญเสียลูกคราวนั้นเธอเจ็บปวดจนแทบจะเป็นบ้า หลังจากนั้นเธอก็ฝันร้ายซ้ำๆนับครั้งไม่ถ้วน
ผู้หญิงช่างแปลกจริงๆ ตอนที่ไม่ได้ตั้งท้อง อาจจะต่อต้านเรื่องแบบนี้เอาเป็นเอาตาย แต่พอตัวเองกลายมาเป็นแม่แล้ว เปลี่ยนสถานะของตัวเองแล้ว มีอีกชีวิตหนึ่งเติบโตขึ้นมาในร่างกาย ใช้ลมหายใจเดียวกัน สายใยผูกพัน ไม่ยอมแพ้ต่อทุกๆอุปสรรคใดใด
แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว เด็กน้อยมาผิดที่ผิดเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและอวี้อี่มั่วในวันนี้ เธอจะใช้จุดยืนอะไรในการให้กำเนิดเด็กคนนี้ขึ้นมาล่ะ?
“ได้คำตอบหรือยัง? ว่าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือเปล่า?”
เสียงของคุณหมอดังขึ้น หร่วนซือซือจึงได้สติขึ้นมา ดวงตาของเธอเริ่มชื้น เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดขึ้นว่า : “ฉันขอกลับไปพิจารณาได้ไหมคะ”
พูดจบเธอก็หยิบผลตรวจแล้วเดินออกจากห้องไป
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างมันถาถมเข้ามาพร้อมๆกัน จนเธอไม่สามารถจะตัดสินใจอะไรได้
ออกจากโรงพยาบาลมา เธอมองไปยังถนน ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหนแล้ว เธอค่อยค่อยทำใจยอมรับความจริงนี้ขึ้นมา
ชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่อาจจะเป็นชะตาที่ฟ้าลิขิตไว้แล้ว อาจจะเป็นการชดเชยจากสวรรค์ ที่เธอเคยสูญเสียไปในครั้งก่อน จึงให้นางฟ้าตัวน้อยกับเธออีกครั้ง
เมื่อหร่วนซือซือคิดได้แบบนี้ ในใจก็ค่อยๆยอมรับเรื่องนี้ได้
เด็กคนนี้คือความเห็นแก่ตัวของเธอที่อยากจะเก็บเอาไว้ แต่ว่าอวี้อี่มั่วทางนั้นเค้าจะยินยอมไหม?