ดั่งรักบันดาล - บทที่ 333 ความลับของเธอ
หร่วนซือซืออึ้งไปชั่วขณะ ก็เริ่มจะเข้าใจความหมายของคำพูดที่เธอพูดขึ้น
ที่แท้เธอก็นึกว่าหร่วนซือซือกับซ่งเย้อันเป็นคู่กัน เพราะฉะนั้นก็เลยอยากให้ทั้งคู่เก็บเด็กเอาไว้……
คุณหมอพูดมาแบบนี้ งั้นเรื่องที่เธอท้องก็ถูกเปิดเผยต่อซ่งเย้อันแล้วสิ?
หร่วนซือซือตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาได้
คุณหมอเห็นเธอไม่ได้พูดอะไรตอบ จึงนึกว่าเธอไม่ยินดียินยอมที่จะทำแบบนั้น คุณหมอยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อว่า : “แต่เรื่องแบบนี้ต้องดูความยินยอมของเจ้าตัวเป็นหลัก”
พูดจบเธอก็ยิ้มให้หร่วนซือซือ รู้สึกบรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เพื่อนร่วมงานของคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆก็ส่งสายตาให้คุณหมอ ทั้งคู่จึงรีบเดินจากไป
หร่วนซือซือที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองซ่งเย้อัน
เธอตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทุกอย่างจะเปิดเผยออกมาแบบนี้
เธอสูดลมหายใจเข้า แล้วหันกลับไปมองซ่งเย้อัน
ซ่งเย้อันขมวดคิ้วแน่น สีหน้าจริงจังกว่าปกติ เขาอึ้งไปเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “เธอ……ท้องเหรอ?”
หร่วนซือซือกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้ดีว่าไม่อาจจะปิดบังมันต่อไปได้ เธอก้มหน้าสุดลมหายใจ พยักหน้าเบาๆ : “อืม”
ซ่งเย้อันขมวดคิ้วแน่น แล้วถามต่อว่า : “กับอวี้อี่มั่วเหรอ?”
หร่วนซือซือก้มหน้าลงต่ำ เธอกัดริมฝีปากแน่น : “อืม”
เรื่องมันมาถึงนี่แล้ว ต่อหน้าซ่งเย้อัน เธอไม่จำเป็นที่จะปิดบังอีกต่อไป
บรรยากาศรอบๆเงียบสงบลง ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรออกมาเลย ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดซ่งเย้อันก็ถามขึ้นมาว่า : “แล้วเธอจะทำยังไงต่อ?”
เธอกัดฟันแน่น หร่วนซือซือเงยหน้าขึ้นหันไปมองซ่งเย้อัน : “ฉันอยากจะเก็บเด็กเอาไว้ เก็บเอาไว้คนเดียวโดยที่ไม่ให้เขารู้”
เธอเองไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เวลามองหน้าซ่งเย้อัน เธอก็รู้สึกเชื่อใจเขาอย่างบอกไม่ถูก
ซ่งเย้อันขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชาขึ้นมา เขามองหน้าเธอ และครุ่นคิด
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร เขาก็ยื่นแขนมาจับมือเธอ แล้วพาเธอเดินไปที่ศาลาเล็กๆที่ไม่มีคน ค่อยปล่อยมือเธอลง เขามองหน้าเธอด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “รู้หรือเปล่าว่าการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมันลำบากแค่ไหน?”
หร่วนซือซือลังเลไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้าเบาๆ : “รู้สิ”
“แล้วเธอทำไมยังเลือกที่จะให้เขาเกิดมาล่ะ?”
ในเมื่อไม่ได้วางแผนจะอยู่กับอวี้อี่มั่วอยู่แล้ว การที่เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้ เด็กคนนี้ก็จะเป็นเพียงภาระและเป็นเพียงหน้าที่ที่เธอต้องรับผิดชอบ
วินาทีนั้น ภายในหัวใจของหร่วนซือซือสับสนวุ่นวายไปหมด ทุกอย่างมันรวมกันไปหมด เธอรู้สึกทรมาน จู่ๆดวงตาก็แดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว : “เพราะว่าเมื่อก่อนฉันเคยสูญเสียเด็กคนหนึ่งไป”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา สีหน้าซ่งเย้อันก็ซีดลงทันที
เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า : “ถ้าเธออยากจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ งั้นก็เก็บไว้เถอะ มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอก ฉันยินดีจะช่วยเหลือเธอทุกอย่าง”
เขาพูดขึ้นอย่างจริงใจ หร่วนซือซือเมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกจุกจนแทบจะร้องไห้
เธอไม่นึกเลยว่า ซ่งเย้อันจะเป็นคนที่รู้ความลับของเธอเป็นคนแรก เมื่อเธอได้พูดมันออกมาแล้ว ความหนักอึ้งที่อยู่ในใจก็เบาบางลง
เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว หร่วนซือซือก็กลับไปที่บริษัท เพิ่งเดินมาถึงหน้าแผนก ก็รู้สึกแปลกใจ ปกติเวลานี้ทุกคนจะคุยกันเสียงดัง แต่ทำไมวันนี้ถึงเงียบผิดปกติล่ะ?
เธอที่กำลังนึกอยู่ พร้อมกับเดินเข้าไป ก็รู้สึกแผนกของเธอเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เธอสูดลมหายใจเข้า รีบเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น
เมื่อถึงหน้าห้องทำงานของเธอแล้ว ก็เห็นเสี่ยวหานที่ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เธอจึงรีบเดินเข้าไป หาแล้วถามขึ้นว่า : “เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เสี่ยวหานสูดลมหายใจเข้า พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “ท่านประธานอวี้มา ตอนนี้อยู่ในห้องทำงานแผนกของเรา เขากำลังรอเธออยู่”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หร่วนซือซือก็อึ้งไปชั่วขณะ หลายวันมานี้ เขาหาเรื่องเธอตลอด พูดอะไรไม่ออกเลย
“รีบเข้าไปสิ! ท่านประธานอวี้รอเธอมาสักพักแล้ว”
เธอที่เพิ่งได้สติ ก็พยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน
เธอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเขาที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ หาอะไรมาอ่านพลาง
หร่วนซือซือสุดลมหายใจเข้า พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ท่านประธานอวี้ มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ก็มาติดตามเรื่องการรับรองของRedeur ”
พูดจบ ก็หันหลังให้โต๊ะทำงานของเธอ อิงตัวนั่งลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองเธอ : “เมื่อกี้เธอหายไปในเวลางาน คงไม่ได้ไปคุยเรื่องการรับรองใช่ไหม?”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ หร่วนซือซือก็นิ่งไปชั่วขณะ
เมื่อกี้เป็นเพราะทางศจ.หร่วนเกิดเรื่องขึ้น เธอยังไม่ทันจะได้ลาใคร ก็วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน เสร็จเรื่องแล้วเธอถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานที่ต้องทำต่อ
เธอกัดริมฝีปากแน่น แล้วสูดลมหายใจเข้า : “ไม่ใช่ค่ะ”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว แววตาเคร่งขรึมขึ้น : “แล้วเธอไปไหน? ไปเจอใครมา?”
จริงๆการติดตามเธอเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะเห็นว่าเธอออกจากบริษัทไปอย่างรีบร้อน เขาที่อยู่ตรงประตูใหญ่พอดี เมื่อเห็นแล้วก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงส่งคนตามไปดู นึกไม่ถึงเลยว่ารออยู่ที่หน้าประตูครึ่งค่อนวัน ก็เห็นว่าเธอเดินออกมากับซ่งเย้อัน……
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น : “ฉันไปโรงพยาบาลมาค่ะ เพราะว่าพ่อของฉัน……”
เสียงดัง”ปัง!” อวี้อี่มั่วโยนเอกสารที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ หร่วนซือซือชะงักไปไม่ได้พูดอะไรต่อ
สีหน้าของอวี้อี่มั่วเครียดขรึมขึ้น จ้องมองมายังเธอ เรากับว่าจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง : “หยุดเอาเรื่องของอาจารย์มาอ้าง หยุดทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ได้ไหม”
หร่วนซือซือผงะ : “ฉันไปทำอะไรให้คุณเหมือนคนโง่?”
เธอยังไม่ทันจะพูดจบด้วยซ้ำ เธอไปทำให้เขาดูเป็นคนโง่ตอนไหน?
อวี้อี่มั่วที่แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเดินตรงมาที่เธอ ประชิดเธอ แล้วพูดขึ้นว่า : “นึกว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอไปเจอซ่งเย้อันมา?”
หร่วนซือซือผงะไปเล็กน้อย เมื่อได้สติ เธอก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา : “ฉันจะไปเจอกับใครมันก็สิทธิ์ของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ?”
อวี้อี่มั่วถูกท่าทางของเธอยัวะเข้าให้อย่างจัง เขาขมวดคิ้วแน่น : “ฉันไม่อยากเห็นเธอไปอยู่กับเขา”
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น ตอบกลับไปทันทีว่า : “เรื่องส่วนตัวของฉัน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”
อวี้อี่มั่วที่โกรธจนตัวสั่น ยิ่งนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เธออยู่กับซ่งเย้อันตามลำพัง ก็ยิ่งโกรธเข้าไปกันใหญ่ เขายื่นมือออกมา จับคางเธอไว้ กัดฟันแน่นแล้วพูดขึ้นว่า : “เธอคิดว่าเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันจริงๆเหรอ?”
ถ้าเขาคิดจะทำ มีเป็นร้อยๆวิธีที่จะพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
หร่วนซือซือมองผู้ชายตรงหน้าที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อวี้อี่มั่ว คุณไม่พอใจใช่ไหม? ไม่พอใจที่เห็นฉันอยู่กับผู้ชายคนอื่น? หรือว่าคุณกำลังหึง?”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป สีหน้าของอวี้อี่มั่วก็เปลี่ยนไปทันที
ชั่วอึดใจ เขาก็รีบเก็บความรู้สึก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “หึงเธอ? ฉันแค่เป็นห่วงว่าเธอจะไปหาผู้ชายในเวลางาน อย่างอื่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ในใจของหร่วนซือซือก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา ใบหน้าทั้งร้อนทั้งชา ราวกับว่าเพิ่งโดนตบหน้ามา
เธอใช้แรงสะบัดมือเขาออก หมุนตัวแล้วออกจากห้องทำงานไปทันที
วินาทีที่เสียงปิดประตูดัง”ปัง!” ในใจของอวี้อี่มั่วจู่ๆก็รู้สึกผิดขึ้นมา
สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อกี้ แรงเกินไปรึเปล่า?